คนไม่ทันโลก

คนไม่ทันโลก
—————
คำรำพันรำพึงของใครคนหนึ่ง
ที่ถูกเรียกว่า “คนไม่ทันโลก”
………….
สังคมไทยสมัยก่อนมีค่านิยมสำคัญอย่างหนึ่งคือ ผู้ชายที่บวชเรียนแล้วเป็นคนสุก เป็นที่นับถือของสังคม ผู้ชายที่ไม่ได้บวชเป็นคนดิบ เป็นที่ตำหนิของสังคม ถึงกับมีคำพูดว่า-ไปขอลูกสาวใครเขา ก็ไม่มีใครเอา
ผู้รู้วิเคราะห์สภาพเช่นนี้ว่า เป็นเพราะสมัยก่อนวัดเป็นสถาบันการศึกษาของสังคม คนที่เข้าไปบวชอยู่ในวัดคือคนที่ได้ผ่านการศึกษาอบรมมาแล้วเป็นอย่างดี-โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกอบรมทางด้านศีลธรรมและการครองชีวิต-พร้อมที่จะเป็นผู้นำครอบครัวและเป็นผู้นำสังคม
—————-
เมื่อมีการตั้งโรงเรียนสำหรับประชาชนขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๕ โรงเรียนนั้นก็ตั้งอยู่ในวัด วัดและพระสงฆ์ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดการศึกษาสำหรับประชาชน
แต่เมื่อเรารับแบบอย่างจากฝรั่งมามากเข้า ความนิยมการศึกษาแบบฝรั่งก็มีมากขึ้น เมื่อคนไทยได้ไปเรียนเมืองฝรั่งจบแล้วก็เอาค่านิยมแบบเมืองฝรั่งมาใช้กับสังคมไทย
จนในที่สุดความรับผิดชอบต่อการศึกษาก็ถูกดึงเอาไปจากพระ และโรงเรียนที่เคยตั้งอยู่ในวัดก็ถูกดึงออกไปนอกวัด
จนถึงขั้นมีการรังเกียจคำว่า “โรงเรียนวัด…”
โรงเรียนหลายแห่งตัดคำว่า “วัด” ออกไปจากชื่อเดิมของโรงเรียน
—————-
ในท่ามกลางแห่งความเป็นไปเช่นนี้ วัดก็ยังคงเป็นที่พึ่งพิงเพื่อการศึกษาของประชาชนอยู่บ้างเป็นบางส่วน-โดยเฉพาะส่วนที่มีฐานะยากจน ด้อยโอกาสทางการศึกษา
นอกจากอาศัยเรียนในโรงเรียนระดับประถมซึ่งยังพอมีอยู่ในวัดบางแห่งแล้ว เด็กชายและชายหนุ่มส่วนหนึ่งก็ได้อาศัยระบบการศึกษาแบบ “บวชเรียน” คือบวชเป็น “ทหรสามเณรา–ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อย” แล้วศึกษาตามระบบวัด คือเรียนนักธรรม เรียนบาลี และการศึกษาวิชาชั้นสูงอย่างอื่นที่คณะสงฆ์จัดให้มีขึ้นหรือที่วัดนั้นๆ อนุญาตให้เรียนได้
“ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อย” เหล่านี้เมื่อเห็นว่าตัวมีกำลังพอจะออกไปสู่สังคมโลกได้ ก็สึกหาลาเพศไป ขวนขวายหาเลี้ยงชีพไปตามสัตติปัญญา
ตามสัตติ คือตามความสามารถ (สัตติ > ศักดิ > ศักดา = ความสามารถ ไม่ใช่ “ตามสติ” = ตามความระลึกได้)
ตามปัญญา คือตามความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา
แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังคงอยู่ในสมณเพศ เป็นกำลังของวัดของพระศาสนาสืบไป
—————-
แต่ค่านิยมของสังคมตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้คนที่จบการศึกษาจากสถาบันที่จัดการศึกษาแบบใหม่ที่ชาววัดมักเรียกเป็นคำรวมว่า “เรียนทางโลก” (ในขณะที่สังคมสมัยใหม่ก็เรียกพวกชาววัด-หรือแม้แต่ชาววัดนั่นเองก็เรียกตัวเองว่าเป็นพวก “เรียนทางธรรม” หรือ “เรียนทางพระ”) กลายเป็นมาตรฐานของสังคม จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่พวกจบการศึกษามาจากวัดก็ต้องกลายเป็นพวกนอกมาตรฐานหรือเป็นคนแปลกหน้าของสังคม เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้หรือไม่ได้รับรู้ว่าว่าชาววัดเรียนอะไรกันมาบ้าง ส่วนมากก็เข้าใจรวมๆ ไปว่าพวกจบไปจากวัดเรียนเรื่องพระพุทธศาสนาซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินเดีย และเมืองพาราณสีเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอยู่ในนิทานชาดก
ก็จึงเป็นที่มาของเรื่องจริงอิงนิยายชวนหัวยั่วหยันว่า ท่านมหาคนหนึ่งถือประกาศนียบัตรไปสมัครงานที่กรมอะไรกรมหนึ่ง เจ้าหน้าที่พอเห็นว่าจบมาทางพระก็พูดขึ้นอย่างครื้นเครงว่า
“จบสายนี้ต้องไปสมัครที่เมืองพาราณสีโน่นนะครับ ฮ่าๆๆ”
และเพราะบุคลิกโดยรวมของคนที่จบไปวัดมักออกไปทาง “สงบเงียบเรียบร้อย” จึงทำให้เกิดเป็นภาพแตกต่างเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ในสังคม
อาการสงบเงียบเรียบร้อย ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่เล่น ไม่เที่ยวสนุกเฮฮานี้ มักถูกแปลความหมายเป็นความเชื่องช้าจนถึงเฉื่อยชา ไม่ทันโลก ไม่ทันสังคม กลายเป็นคนแปลกหน้า และมักเป็นที่ล้อเลียนหรือล้อเล่นในหมู่คนร่วมงาน
—————-
เมื่อไปเจอสภาพแวดล้อมแบบนี้ ก็ทำให้พวกจบไปจากวัดบางคนบางส่วนพยายามปรับตัว จะเพื่อให้เข้ากับเขาได้ หรือเพื่อความอยู่รอด อะไรก็ตาม
ได้ยินมาว่า บางคนปรับตัวจนสุดโต่ง เริ่มตั้งแต่การแต่งตัวหลุดโลก ไปจนถึงการวางตัวและการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหลือคราบความเป็นคนวัด
หลายคนอายกำพืดของตัวเอง
หลายคนไม่พอใจที่จะให้ใครเรียก “มหา” เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามาจากวัด
—————-
พันเอก ประสาธน์ กองธรรม อดีตผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก เคยกล่าววาทะเตือนสติผู้ไปจากวัดทั้งหลายไว้ว่า –
“เราเป็นเรา เราพิลาส
เราเป็นเขา เราพินาศ”
คำกล่าวนี้มีหมายความว่า ชาวโลกเขานับถือคนวัดก็ตรงที่มีความเป็นคนวัดอยู่ในตัว
“ความเป็นคนวัด” ก็คือ ความสงบเงียบเรียบร้อย ดำรงชีพตามคลองธรรม ทำหน้าที่ตามเพศภาวะของตน
เขานับถือกันตรงนี้
คนวัดจึงต้องทำตัวให้เขานับถือด้วยเหตุผลนี้
เป็น-อย่างที่เราควรเป็น จึงจะงาม
…………….
อุปมาเทียบ-
เหมือนหลวงพ่อหลวงปู่ทั้งหลายที่เป็นพระสุปฏิบันโน แม้อยู่ตามวัดป่าตามถ้ำตามเขา ผู้คนก็หลั่งไหลไปกราบไหว้สักการะ
เขาไปกราบไหว้ความเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่าน
ไม่ใช่กราบไหว้เพราะท่านจบประโยค ๙
หรือเพราะท่านจบดอกเตอร์
หรือเพราะท่านเป็นพระราชาคณะชั้นสูง
หรือเพราะท่านมีตำแหน่งทางคณะสงฆ์ในระดับสำคัญ
หรือเพราะท่านพูดภาษาอังกฤษได้
ฯลฯ
แต่ชาวบ้านไปกราบไหว้ตรงที่-ความเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่านเป็นสำคัญ
…………….
คนวัดจึงต้องทำตัวให้เขานับถือตรงความเป็นคนวัด ซึ่งชาวโลกเขาเป็นอย่างเราไม่ได้ แต่เราเป็นได้ และสามารถ “ทำให้เขาเห็น เป็นให้เขาดู” ได้-อย่างที่เราเป็น
แต่เมื่อใดที่เราพยายามจะเป็นอย่างที่เขาเป็น เราจะไร้ค่าทันที
เราจะมีค่าอย่างไรได้ ในเมื่อคนแบบนั้นมีเป็นแสนเป็นล้านอยู่แล้ว มีเราไปเพิ่มจำนวนขึ้นอีกคนหนึ่ง ก็เท่ากับเอาเกลือเม็ดเดียวไปเติมทะเลเท่านั้น
นอกจากไม่ได้ไปเพิ่มคุณค่าอะไรให้แก่โลกแล้ว เรายังสูญเสียความเป็นคนวัด ซึ่งก็คือสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอีกด้วย
อย่างดีที่สุดที่คนไปจากวัดจะได้รับก็อาจจะเป็นคำชมจากเขาว่า “มหานี่เก่งนะ ทำเลวเหมือนพวกผมก็ได้ด้วย”
เราจึงพินาศด้วยเหตุนี้
—————-
พวกจบจากวัดถูกประทับตราว่าเป็นพวก “ไม่ทันโลก” ดูเหมือนจะเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าเป็นเช่นนั้น แม้กระทั่งเจ้าตัวเองส่วนมากก็ยอมรับแบบ-ไม่รู้จะเถียงเขาว่าอย่างไรได้
นาวาเอก ธัญนพ ผิวเผือก เปรียญธรรม ๙ ประโยค อดีตผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ก็เช่นเดียวกับผู้จบจากวัดทั้งหลาย คือเป็นผู้หนึ่งที่ถูกมองว่า เป็นพวก “ไม่ทันโลก”
แต่ท่านไม่ใช่คนชนิดที่จะยอมให้ใครทำเอาข้างเดียวง่ายๆ
คราวหนึ่ง ท่านถูกเพื่อนนายทหารเรือซึ่งจบมาจากสายวิทยาการอื่นพูดแหย่ทีเล่นทีจริงว่า “พวกมหาก็แบบนี้แหละ พวกไม่ทันโลก”
“โลกไหนครับ” ท่านอาจารย์ธัญนพสวนกลับทันควัน
นายทหารเรือท่านนั้นงง คาดไม่ถึงว่าจะโดนหมัดนี้
“คุณว่าพวกผมไม่ทันโลก” ท่านอาจารย์ธัญนพไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายนั้นตั้งตัว “โลกไหนครับที่ว่าไม่ทันน่ะ”
…………
ผมอาจไม่รู้เรื่องวิทยาศาตร์ คณิตศาสตร์ ชีวะเคมีเหมือนพวกคุณ
แต่พวกคุณก็ไม่รู้เรื่องวัด ไม่รู้เรื่องพระศาสนาเหมือนพวกผม
คุณว่าผมไม่ทันโลกของคุณ
พวกคุณก็ไม่ทันโลกของพวกผมเหมือนกันนั่นแหละ
…………
คำตอบแบบนี้ควรจะทำให้ทุกฝ่ายได้สติขึ้นมาบ้างกระมัง
โลกของใครก็ของมัน
แต่เราก็สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้โดยไม่ต้องเอาโลกของฝ่ายหนึ่งมาข่มโลกของอีกฝ่ายหนึ่ง
เราสามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ เพื่อช่วยกันตัดส่วนเกินในโลกของฝ่ายหนึ่ง และเติมส่วนพร่องให้แก่โลกของอีกฝ่ายหนึ่ง
อยู่ร่วมกันเพื่อเกื้อกูลกันและกัน
มิใช่เพื่อกดข่มหยามหมิ่นกันและกัน
แต่เมื่อว่ากันตามจริง ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่เรียนมาจากวัดคนไหนแสดงอาการกดข่มคนที่เรียนมาทางโลก ในขณะที่คนที่เรียนมาทางโลกมองพวกที่มาจากวัดด้วยสายตาดูแคลนอยู่เสมอจนเป็นธรรมชาติอันถาวร
จะเป็นเพราะเขาไม่มีข้อด้อยให้เราดูหมิ่น
หรือจะเป็นเพราะเรามองข้อด้อยของเขาไม่ออก ก็ตามที
แต่ก็พูดได้เต็มปากว่า-พวกเราพยายามให้เกียรติแม้แก่คนที่ไม่เคยคิดจะให้เกียรติเราเลยแม้แต่น้อย
—————-
ไม่ว่าใครจะมองโลกของใครว่าเป็นอย่างไร แต่มันก็เป็นความจริงอย่างที่ว่า-โลกของใครก็โลกของมัน
มันขึ้นอยู่กับว่าโลกของใครดำรงอยู่และดำเนินไปด้วยอาการอย่างไร
มันขึ้นอยู่กับว่า ในโลกของใคร เขามองอะไรว่าเป็นสาระ มองอะไรว่าไม่ใช่สาระ และใครไขว่คว้าเอาสาระตามความเห็นของตัวไว้ได้มากน้อยแค่ไหน
และเมื่อถึงสุดท้ายปลายทาง สิ่งที่แต่ละคนไขว่คว้าหอบหิ้วมานั้นเป็นสาระที่แท้จริง หรือว่าที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงสิ่งที่ถูกเข้าใจว่าเป็นสาระ-เท่านั้นเอง
ถ้าเป็นเช่นนั้น ยิ่งบอกว่าตัวเองทันโลกมากเท่าไร
ก็ยิ่งถูกโลกมันหลอกเอามากเท่านั้น-โดยไม่รู้ตัว
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙
๑๓:๐๒