ความกะป้ำกะเป๋อของคุณปู่ และความน่าเอ็นดูของคุณหนูไปรษณีย์

ความกะป้ำกะเป๋อของคุณปู่ และความน่าเอ็นดูของคุณหนูไปรษณีย์
————-
เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วมีคณะผู้แสวงบุญมาที่บ้านผม
ไม่ได้มามือเปล่า แต่มีอุปกรณ์การปฏิบัติงานมาด้วยครบมือ
มาถึงก็จัดการปรู๊ฟรายชื่อจ่าหน้าซองส่งหนังสือพิธีกรควรรู้
แล้วถ่ายออกมาจากเครื่องพิมพ์
แล้วตัดออกเป็นแผ่น ๆ
แล้วทากาวแปะหน้าซองทั้งชื่อผู้รับชื่อผู้ส่ง
แล้วบรรจุหนังสือลงซอง
แล้วทากาวปิดซอง
เป็นกระบวนการที่ไม่เหนื่อย แต่เมื่อยดีนัก
ทำกันครึ่งวันกว่าๆ ได้ซองกองพะเนินที่พร้อมส่ง
แต่ชื่อผู้รับที่ตัดเตรียมไว้หมดลงเสียก่อน จึงปิดเฉพาะชื่อผู้ส่งไว้ได้อีกจำนวนหนึ่งเพื่อรอปิดชื่อผู้รับในวันต่อไป
แล้วท่านเหล่านั้นก็ลาไป
————–
รุ่งขึ้นวันจันทร์ ผมสวมวิญญาณกรรมกรขนหนังสือขึ้นรถ
สวมวิญญาณสารถีขับรถไปที่ทำการไปรษณีย์
สวมวิญญาณกรรมกรขนหนังสือลงจากรถ
หลายเที่ยวกว่าจะหมด
พวกคุณหนูไปรษณีย์เห็นกองหนังสือก็ถอนใจใหญ่
ทดลองชั่งน้ำหนัก ๑ ซองเป็นตัวอย่าง
รู้ราคาค่าส่งต่อซองแล้วก็เอาจำนวนรวมคูณกันเข้าไป
คุณหนูไปรษณีย์บอกว่า คุณปู่โปรดนับจำนวนทั้งหมดให้ด้วย
เหตุเกิดตอนนี้แหละครับ เพราะไม่ได้นับไปจากบ้านให้เรียบร้อย
ผมก็เลยต้องตั้งพิธีนับกันที่หน้าเคาน์เตอร์นั่นเอง
ตัวเลขกับผมนี่พูดตามศัพท์โหรก็ว่าเป็นกาลกิณีกันครับ
ผมหาวิธีนับซองหนังสืออยู่นาน ในที่สุดก็ใช้วิธีหยิบทีละซองมากองซ้อนกันให้ได้กองละ ๒๐ โดยอาศัยความสูงของกองเป็นเครื่องช่วยยืนยัน
นับเป็นกองเช่นว่านั้นจนหมด
ได้กองหนังสือ ๖ กอง
กับเศษอีก ๙ ซอง
ผมต้องแบ่งชัดๆ แบบนี้ มิเช่นนั้นตัวเลขจะสับสนอลหม่านไปหมด
หนังสือ ๖ กอง กองละ ๒๐ สมองซีกซ้ายของผมคูณได้ ๑๐๐ พอดี !
รวมกับเศษ ๙ ซอง ก็เป็น ๑๐๙
ตัวเลขสวยไม่เบา
บอกจำนวนเสร็จ จ่ายเงินค่าส่งเสร็จ คุณหนูไปรษณีย์ก็ใจดีบอกว่า คุณปู่กลับไปเถอะ ทางไปรษณีย์จะปิดแสตมป์ให้เอง
ผมก็กลับบ้านด้วยความโล่งใจ
————–
วันรุ่งขึ้น คือเมื่อวานนี้ อาจารย์ที่บ้านท่านบรรจุซอง แปะชื่อได้อีกจำนวนหนึ่งก็ชวนกันเอาไปส่งไปรษณีย์อีก
พอโผล่เข้าไปเท่านั้นแหละ คุณหนูไปรษณีย์ก็ชิงกันบอกว่า เมื่อวานคุณปู่นับขาดไปตั้ง ๒๐
ไปรษณีย์ปิดแสตมป์ส่งได้ ๑๐๙ ซองตามจำนวนที่แจ้ง
อีก ๒๐ เก็บรอเจ้าของอยู่
นอกจากนั้นยังมีปรากฏการณ์พิเศษ คือมีซองที่มีแต่ชื่อผู้ส่ง แต่ไม่มีชื่อผู้รับ
คงไม่ใช่เพราะคณะผู้แสวงบุญท่านเผลอ
แต่คงจะเป็นความกะป้ำกะเป๋อของผมเองที่ไปคว้าเอาซองที่ยังไม่ได้แปะซื่อผู้รับหอบขึ้นรถมาด้วย
กลายเป็นที่ครึกครื้นกันทั่วไป
ผมก็เลยอภินันทนาการซองพิเศษนั้นให้แก่คุณหนูไปรษณีย์เป็นที่ระลึกแห่งความกะป้ำกะเป๋อของคุณปู่
—————
ตอนบ่าย ผมไปถวายความรู้ภาษาบาลีหลักสูตรเปรียญธรรม ๓ ประโยค ที่วัดไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้าน
พอกลับมาถึงบ้าน อาจารย์ที่บ้านท่านก็ชี้ให้ดูซองหนังสือซองหนึ่งที่บุรุษไปรษณีย์นำมาจ่าย
เป็นซองหนังสือพิธีกรควรรู้ล็อตแรก ๑๒๐ ซอง ที่เล่ามาข้างต้นว่ามีซองหนึ่งมีแต่ชื่อผู้ส่ง แต่ไม่มีชื่อผู้รับ
ซองที่ไม่มีชื่อผู้รับไม่ได้มีซองเดียว แต่ยังมีซองนี้อีกซองหนึ่ง
แต่ทั้งๆ ที่ไม่มีชื่อผู้รับ คุณหนูไปรษณีย์ก็ยังอุตส่าห์ปิดแสตมป์ให้เป็นอันดี
แล้วบุรุษไปรษณีย์ยังอุตส่าห์นำมาจ่ายให้แก่ผู้ส่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นผู้รับตามปกติทั่วไป
ไม่เชื่อก็ดูรูปที่ประกอบเรื่องนี้เอาเองเถอะครับ
ทีแรกผมคิดจะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “เมื่อผู้ส่งเป็นผู้รับ”
แต่มาคิดอีกที ชื่อนี้ยังขาดสาระสำคัญของเรื่องไป
ก็เลยเปลี่ยนใหม่
ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังเคร่งครัดกันอยู่แบบนี้ ผมว่าเรื่องนี้อาจช่วยให้ญาติมิตรรู้สึกครึกครื้นขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อยนะครับ
๔ มิถุนายน ๒๕๕๗