บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

โค้งลับแล

โค้งลับแล

——————-

ไม่ใช่หน้าที่ของกู

……………..

เมื่อวันก่อนผมเห็นโพสต์ของศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (23 กันยายน 2559 เวลา 23:42 น.) พูดถึงกรณีสร้างพุทธมณฑลที่จังหวัดปัตตานี กับการสร้างมัสยิดแห่งแรกที่จังหวัดบึงกาฬ ประเด็นก็คือ การสร้างพุทธมณฑลที่จังหวัดปัตตานีทางการสั่งให้ชะลอไว้ก่อน ส่วนการสร้างมัสยิดที่จังหวัดบึงกาฬทางการบอกว่าไม่มีอำนาจสั่งห้าม

ผมเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะให้ญาติมิตรได้รับรู้กันมากๆ ก็จึงแชร์มาที่ไทม์ไลน์ของผม และได้แสดงความเห็นในช่องเขียนความเห็นไว้ด้วย

ข้อความที่ผมเขียนแสดงความคิดเห็นมีดังนี้ –

…………………….

ถ้าพูดประชดแบบไม่ต้องเกรงใจและไม่ต้องระวังภาษาก็คือ – กูจะทำอย่างนี้แหละ ใครจะทำไม

.

คือใช้อำนาจและเลศนัยทางกฎหมายกันอย่างเห็นๆ นี่แหละ ไม่ต้องแอบๆ ซ่อนๆ เอากันอย่างโจ่งแจ้งให้เอ็งมองเห็นจะๆ นี่เลย ใครจะทำไม

.

ผมก็คงยืนยันแนวคิดเดิม คือ (๑) ช่วยกันรู้ทันให้มากๆ (๒) อย่าหวังพึ่งการเห็นใจจากทางราชการไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหนๆ เพราะถูกครอบงำเป็นส่วนมากแล้ว (๓) ช่วยกันคิดหาทางปฏิบัติการ ตรงนี้แหละยากมาก ส่วนมากพวกเราก็จะออกมาบอกว่าเราจะต้องทำอย่างนั้น เราจะต้องทำอย่างนี้ แต่ไม่มีใครทำ (รวมทั้งคนที่พูดนั่นเอง) เพราะฉะนั้น คิดวิธีที่สามารถทำได้จริงด้วย ไม่ใช่แค่น่าจะ..ควรจะ..แต่ทำไม่ได้จริง

.

ทางหนึ่งที่ทำได้จริง คือช่วยกันศึกษา ช่วยกันหาข้อมูล ข้อกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ศาสนาของเขา แต่ปิดกั้นประโยชน์ทางศาสนาของเรา ว่ามีกฎหมายฉบับไหนบ้าง ศึกษาสืบทราบให้รู้ว่าขณะนี้เขากำลังวางแผนอะไรอยู่ เมื่อรู้แน่แล้วเอามาบอกให้พวกเราช่วยกันรับรู้เอาไว้

.

และที่สำคัญ อย่าคิดเป็นอันขาดว่า ไม่ใช่หน้าที่ของกู

.

ที่พระพุทธศาสนาพินาศไปจากอินเดียและจากอินโดฯ ก็เพราะชาวพุทธทั้งหลายคิดแบบนี้แหละ – ไม่ใช่หน้าที่ของกู

(จบข้อความที่ผมแสดงความคิดเห็น)

…………………….

ได้มีผู้แสดงความคิดเห็นต่อความคิดเห็นของผมในเชิงทักท้วง สรุปเอาแต่แก่นความได้ว่า –

๑ จะเอากรณีทั้งสองมาเทียบกันไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน

๒ คนละเรื่องกันก็คือ –

1) การสร้างมัสยิดที่จังหวัดบึงกาฬเป็นการสร้างในที่ดินส่วนบุคคล เจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิ์เต็มที่ ทางการไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งห้าม

2) ส่วนการสร้างพุทธมณฑลที่จังหวัดปัตตานีเป็นการสร้างในที่สาธารณะ จึงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในหลายๆ ด้าน ทั้งทางด้านกฎหมายและด้านสังคม

สรุปซ้อนสรุปว่า เป็นข้อเท็จจริงทางกฎหมาย จึงเอามาเทียบกันไม่ได้

——————

ความคิดเห็นทักท้วงนี้ผมเห็นว่าชอบด้วยเหตุผล-หมายถึงเหตุผลทางกฎหมาย และเป็นข้อทักท้วงที่ต้องยอมรับ

พูดตามสำนวนชาวบ้านก็ว่า ใครที่ออกมาคัดค้านเรื่องนี้สมควรหน้าแตกไปตามระเบียบ ฐานคัดค้านไม่ดูตาม้าตาเรือ

เป็นอันว่ามัสยิดที่จังหวัดบึงกาฬก็ควรจะได้สร้างต่อไป

ส่วนพุทธมณฑลที่จังหวัดปัตตานีก็รอกันต่อไป-ถ้ารอไหว

เมื่อได้ฟังคำทักท้วงดังกล่าว ผมได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมมีข้อความดังนี้ –

…………………….

เรื่องข้อกฎหมายนี่แหละที่ผมเห็นว่ามันมี “โค้งลับแล” ซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด มองมุมนี้นึกว่าใช่ แต่พอไปมองอีกมุมหนึ่ง หรือเอามุมอื่นมาร่วมมองด้วย กลับไม่ใช่ แล้วก็ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ในมุมมองของใคร นี่ก็ยังเป็นอีกประเด็นหนึ่งต่างหาก

.

เพราะฉะนั้น ใครกำลังมองอยู่ตรงมุมไหน หรือมองมาจากมุมไหน จุดนี้ต้องคำนึงให้มากๆ ด้วยครับ

(จบข้อความที่ผมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม)

…………………….

คำว่า “โค้งลับแล” นี้ผมจำเอามาจากคำของท่านพันเอก ปิ่น มุทุกันต์ อดีตอธิบดีกรมการศาสนา ท่านอธิบายเรื่องมงคล ๓๘ ตอนที่ว่าด้วยการเลี้ยงดูบิดามารดา และการสงเคราะห์บุตรภรรยา ท่านว่าตรงนี้เป็นโค้งลับแล

คือถ้านับการเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นมงคล ๑ ข้อ นับการสงเคราะห์บุตรภรรยาเป็นมงคล ๑ ข้อ รวมเป็น ๒ ข้อ อย่างนี้จำนวนมงคลทั้งหมดจะได้ ๓๗ ข้อ ไม่ครบ ๓๘ ขาดไปข้อหนึ่ง

แต่ถ้าแยกการเลี้ยงดูบิดาเป็นมงคล ๑ ข้อ การเลี้ยงดูมารดาเป็นมงคล ๑ ข้อ และแยกการสงเคราะห์บุตรเป็นมงคล ๑ ข้อ การสงเคราะห์ภรรยาเป็นมงคล ๑ ข้อ รวมเป็น ๔ ข้อ อย่างนี้จำนวนมงคลทั้งหมดจะได้ ๓๙ ข้อ เกินไปข้อหนึ่ง

นับอย่างไรจึงจะหลุดจากโค้งลับแลนี้ได้ ต้องไปหาคำตอบกันเอาเอง

ข้อกฎหมายเรื่องสร้างมัสยิดกับสร้างพุทธสถานก็มีโค้งลับแล

ตอนที่คัดค้านการสร้างพุทธมณฑลที่ปัตตานี ผมจำไม่ได้ว่ามีการอ้างข้อกฎหมายหรือเปล่า แต่เหตุผลที่เด่นมากของฝ่ายคัดค้านคือ –

ปัตตานีเป็นดินแดนของศาสนาอิสลาม ประชาชนนับถือศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นจึงควรจะเกรงใจพี่น้องมุสลิมเขาให้มากหน่อย

สมมุติว่ามีใครเอาเหตุผลแบบเดียวกันนี้ไปอ้างกับการสร้างมัสยิดที่จังหวัดบึงกาฬบ้างว่า –

บึงกาฬเป็นดินแดนของพุทธศาสนา ประชาชนนับถือศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาอิสลาม เพราะฉะนั้นจึงควรจะเกรงใจพี่น้องชาวพุทธเขาบ้าง

ก็จะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นทันทีด้วยข้ออ้างทางกฎหมายว่า-เป็นการสร้างในที่ดินส่วนบุคคล เจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิ์เต็มที่ /จบ

ผมยกตัวอย่างเพียงโค้งเดียว โค้งอื่นๆ ขอให้ช่วยกันลองพิจารณาดูเอาเองเถิด

ลองคิดต่อไปอีกหน่อยก็ได้ พอมัสยิดที่บึงกาฬสร้างเสร็จ (ตามอำนาจทางกฎหมายที่ว่าสร้างในที่ดินส่วนบุคคล) ใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจได้เต็มรูป ชาวโลกทั้งหลายที่ผ่านมาเห็นเข้าจะเข้าใจว่าเป็นมัสยิดส่วนบุคคลหรือเปล่า

โลกจะต้องเข้าใจว่าเป็นศาสนสถานของศาสนาอิสลามทั้งนั้น 

ไม่มีใครที่จะเข้าใจ (ถูกตามกฎหมาย) ไปว่าเป็นมัสยิดส่วนตัวของฮัจญีคนไหนเป็นอันขาด

ถึงตอนนั้นข้อกฎหมายก็ตามมาอีกได้ตั้งหลายโค้ง เช่น เจ้าของมัสยิดมีอำนาจอนุญาตให้ใครก็ได้ที่เป็นมุสลิมทั่วโลกมาทำพิธีละหมาดที่นี่ ไม่เห็นผิดกฎหมายตรงไหน 

หรือแม้กระทั่งสร้างเสร็จแล้ว (ตามอำนาจทางกฎหมายที่ว่าสร้างในที่ดินส่วนบุคคล) จะยกให้เป็นศาสนสมบัติกลางของอิสลามก็ย่อมได้ เป็นความดีความชอบด้วยซ้ำไป ชาวพุทธนิยมยกบ้าน ยกที่ดิน ยกสมบัติถวายวัดกันเป็นโขยงไม่ใช่หรือ 

แล้วผมทำผิดกฎหมายตรงไหนไม่ทราบ?

——————–

มีเรื่องเก่าที่ผมบังเอิญอยู่ตรงขอบสนามเรื่องหนึ่ง คือกรณีเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ 

เราคงยังจำกันได้ว่า เหตุผลที่โดดเด่นข้อหนึ่งของผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็คือ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทยอยู่แล้วโดยข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญจะบัญญัติหรือไม่บัญญัติก็ไม่สำคัญอะไรเลย มันเป็นอยู่แล้ว จะต้องไปเรียกร้องอะไรกันอีก

หลายคนก็ร้องรับว่า เออ จริงด้วย

อยู่มาวันหนึ่ง ตำราเรียนพระพุทธศาสนาเล่มหนึ่งที่กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้ใช้เป็นแบบเรียนในโรงเรียนก็เขียนข้อความประโยคหนึ่งว่า 

“พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย”

เกิดอะไรขึ้นทราบกันไหมขอรับ 

มีบุคคลระดับสมาชิกรัฐสภาประท้วงทันทีว่า ข้อความดังกล่าวในแบบเรียนเล่มนั้นไม่ถูกต้อง ขอให้กระทรวงศึกษาธิการตัดออก เหตุผลก็คือรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย”

ตอนขอให้บัญญัติ บอกว่าไม่ต้อง มันเป็นอยู่แล้ว

แต่พอเอาไปพูดไปอ้าง บอกว่าอ้างไม่ได้ รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติ

เอากะท่านซี

——————–

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ได้เคยเกิดขึ้นแล้ว และต่อไปจะเกิดอีกอย่างแน่นอน และผมเชื่อว่ามันจะต้องเป็นโค้งลับแลอีกโค้งหนึ่งแน่ๆ จึงขอปรึกษาว่าเราจะมีแง่มุมทางกฎหมายอย่างไรดี

นั่นก็คือ การไล่พระออกจากห้องทำงาน

สมัยผมปฏิบัติราชการอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส นายอำเภอคนหนึ่งในจังหวัดนั้นท่านเป็นมุสลิม พอท่านไปรับตำแหน่งท่านก็สั่งให้ขนพระพุทธรูปในห้องนายอำเภอออกไปไว้ที่อื่น

เหตุการณ์ระดับชาติก็มีที่กระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีท่านหนึ่งเป็นมุสลิม ท่านก็สั่งให้ขนพระพุทธรูปในห้องทำงานรัฐมนตรีออกไปไว้ที่อื่น 

ผมเห็นข่าวทางสื่อโซเชียลมีเดียว่าเพิ่งจะอัญเชิญกลับเข้าที่เมื่อไม่นานมานี้เอง

ตามที่ผมทราบ ในกองทัพเรือมีระเบียบว่าด้วยพระพุทธรูปประจำหน่วย หน่วยระดับกรมและกองพัน กำหนดอัตราเป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว หน่วยระดับกองร้อยพระพุทธรูปขนาด ๕ นิ้ว พร้อมทั้งมีอัตราโต๊ะหมู่บูชาด้วย เรือแต่ละลำกำหนดอัตราพระพุทธรูปประจำเรือไว้ด้วย

“กำหนดอัตรา” ในภาษาทางราชการหมายความว่า ให้หน่วยนั้นๆ สถานที่นั้นๆ จัดหาหรือจัดให้มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ไว้เป็นสมบัติส่วนกลางของหน่วยโดยใช้ประมาณจากทางราชการ ดูเหมือนจะมีคำเรียกว่า “ครุภัณฑ์ประจำสำนักงาน”

กรณีที่กำลังพูดนี้ก็คือพระพุทธรูปและโต๊ะหมู่บูชาประจำหน่วย

ผมเข้าใจว่าหน่วยราชการไทยทุกหน่วยจะมีระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้กำหนดให้ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ดังนั้น พระพุทธรูปในห้องนายอำเภอก็ดี ในห้องผู้ว่าฯ ก็ดี ให้ห้องไหนๆ ก็ดี จึงไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของนายอำเภอหรือของผู้ว่าฯ คนไหนโดยเฉพาะที่จะทำอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ 

แต่ต้องถือว่าเป็นสมบัติของสังคมไทย 

ใครจะไม่นับถือ ก็ควรจะมีมารยาทบ้าง

เรื่องแบบนี้ต้องเกิดอีกแน่ เพราะนายอำเภอ ผู้ว่าฯ และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ที่เป็นมุสลิมมีอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่มีระเบียบกำหนดไว้ให้ชัดแจ้งว่าต้องทำอย่างไรและห้ามทำอย่างไร เราจะได้เห็นและได้ยินการไล่พระพุทธรูปออกจากห้องทำงานอีกอย่างแน่นอน

ต้องทำอย่างไรและห้ามทำอย่างไร-ตรงนี้แหละ ถ้าไม่ช่วยกันกำหนดไว้ให้ชัดตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เราก็จะต้องเข้าโค้งลับแลกันอยู่เรื่อยไป

ท่านเป็นคนหนึ่งใช่ไหมที่กำลังจะบอกว่า-ไม่ใช่หน้าที่ของกู

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๖ กันยายน ๒๕๕๙

๑๘:๔๘

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้