บาลีวันละคำ

ห้องสมุด (บาลีวันละคำ 4,691)

ห้องสมุด

บาลีว่าอย่างไร

ห้องสมุด” คำอังกฤษที่รู้กันคือ library

พจนานุกรมอังกฤษ-บาลี แปล library เป็นบาลีดังนี้: 

(1) potthakālaya โปตฺถกาลย (โปด-ถะ-กา-ละ-ยะ) 

(2) ganthasamūha คนฺถสมูห (คัน-ถะ-สะ-มู-หะ)

ตามคำแปลนี้ มีคำบาลี 4 คือ คือ “โปตฺถก” “อาลย” “คนฺถ” “สมูห

(๑) “โปตฺถก” 

อ่านว่า โปด-ถะ-กะ รากศัพท์มาจาก 

(1) ปุสฺ (ธาตุ = เต็ม) + ปัจจัย, แผลง อุ ที่ ปุ-(สฺ) เป็น โอ (ปุสฺ > โปส) แปลง ที่ (ปุ)-สฺ เป็น + สกรรถ (ลง แล้วมีความหมายเท่าเดิม)

: ปุสฺ + = ปุสถ > โปสถ > โปตฺถ + = โปตฺถก แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เต็ม” 

(2) ปุตฺถฺ (ธาตุ = ผูก) + (อะ) ปัจจัย, แผลง อุ ที่ ปุ-(ตฺถ) เป็น โอ (ปุตฺถ > โปตฺถ) + สกรรถ (ลง ก แล้วมีความหมายเท่าเดิม)

: ปุตฺถฺ + = ปุตฺถ > โปตฺถ + = โปตฺถก แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันเขาผูกไว้” 

โปตฺถก” (ปุงลิงค์; นปุงสกลิงค์) ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) หนังสือ (a book)

(2) สิ่งที่ทำหรือปั้นด้วยดินเหนียว [หรือไม้ ฯลฯ] (anything made or modelled in clay [or wood etc.])

(๒) “อาลย” 

อ่านว่า อา-ละ-ยะ รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, มาก, ยิ่ง) + ลิ (ธาตุ = ติดใจ, ติดแน่น) + ปัจจัย, ลบ , แปลง อิ ที่ ลิ เป็น (ลิ > ลย)

: อา + ลิ = อาลิ + = อาลิณ > อาลิ > อาลย แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่ติดใจยินดีแห่งผู้คน” “สิ่งที่ใจไปติดแน่นอยู่” 

นักภาษาอธิบาย “อาลย” เป็นรูปธรรมว่า เหมือน “คอน” ที่นกเกาะนอน เท้านกจะต้องยึดแน่นอยู่กับคอนนั้น มิเช่นนั้นก็ตก อาการที่จับติดแน่นไม่ยอมปล่อยนั่นเองคือ “อาลัย

ตามรากศัพท์เช่นนี้ “อาลัย” ในทางรูปธรรมจึงหมายถึงสถานที่พักอาศัย, ที่อยู่, แหล่งรวมของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น –

ชลาลัย = แหล่งรวมแห่งน้ำ คือแม่น้ำ หรือทะเล

หิมาลัย = แหล่งรวมแห่งหิมะ คือภูเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี

อาลย” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) คอนสำหรับนกหรือไก่เกาะหรือนอน (ความหมายเดิม), สถานที่พักอาศัย, บ้านเรือน (roosting place, perch, abode settling place, house)

(2) เกาะเกี่ยวอยู่, ความรักใคร่, ความต้องการ, ตัณหา, ราคะ (hanging on, attachment, desire, clinging, lust)

(3) การแสร้งทำ, มารยา, ข้อแก้ตัว (pretence, pretext, feint)

บาลี “อาลย” ภาษาไทยใช้เป็น “อาลัย” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

(1) อาลัย ๑ : (คำกริยา) ห่วงใย, พัวพัน, ระลึกถึงด้วยความเสียดาย.น. ความห่วงใย, ความพัวพัน, ความระลึกถึงด้วยความเสียดาย. (ป., ส. อาลย).

(2) อาลัย ๒ : (คำนาม) ที่อยู่, ที่พัก, เช่น ชลาลัย = ที่อยู่แห่งนํ้า หมายถึง ทะเล แม่น้ำ เป็นต้น หิมาลัย = ที่อยู่แห่งหิมะ เป็นชื่อของเทือกเขาสูงอยู่ทางทิศเหนือของอินเดีย ยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดปี.

(๓) “คนฺถ

อ่านว่า คัน-ถะ รากศัพท์มาจาก คนฺถฺ (ธาตุ = ผูก, แต่ง, ร้อยกรอง) + (อะ) ปัจจัย 

: คนฺถฺ + = คนฺถ แปลตามศัพท์ว่า (1) “การผูก” “สิ่งอันเขาใช้ผูก” (2) “คำอันท่านผูกไว้” 

คนฺถ” (ปุงลิงค์) ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) เครื่องผูกมัด, เครื่องร้อยรัด, เครื่องพันธนาการ (a bond, fetter, trammel)

(2) ความเรียง, ต้นฉบับ, หนังสือ (composition, text, book)

ในที่นี้ “คนฺถ” ใช้ตามความหมายในข้อ (2) 

(๔) “สมูห” 

อ่านว่า สะ-มู-หะ รากศัพท์มาจาก สํ (คำอุปสรรค ในที่นี้ใช้ในความหมายว่า “สมฺมา” = ถูกต้อง, “วิเสส” = พิเศษ, “สม” = เสมอกัน, พร้อมกัน) + อูหฺ (ธาตุ = นับ; ตั้งอยู่; รู้) + ปัจจัย, ลบ , แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น (สํ > สม)

: สํ > สม + อูหฺ = สมูหฺ + = สมูหณ > สมูห แปลตามศัพท์ว่า (1) “หมู่ที่นับกันโดยชอบและโดยพิเศษ” (2) “หมู่ที่ดำรงอยู่กับส่วนย่อย” (3) “หมู่อันเขารู้กันดีว่าเป็นส่วนเดียวกัน” 

สมูห” (ปุงลิงค์) หมายถึง กอง กลุ่ม, การรวมกัน (multitude, mass, aggregation) 

บาลี “สมูห” ในภาษาไทยใช้เป็น “สมุห-” (อ่านว่า สะ-หฺมุ-หะ- เมื่อมีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย) และ “สมุห์” (อ่านว่า สะ-หฺมุ) 

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

สมุห-, สมุห์ : (คำนาม) หมู่, กอง, พวก. (ป.; ส. สมูห); หัวหน้าในตําแหน่งหน้าที่ เช่น สมุหพระราชพิธี สมุหราชองครักษ์ สมุห์บัญชี; ตําแหน่งพระฐานานุกรมเหนือใบฎีกา เช่น พระสมุห์ พระครูสมุห์.”

ข้อสังเกต : 

ความหมายว่า หมู่, กอง, พวก เป็นความหมายเดิมตามภาษาบาลี

ความหมายว่า หัวหน้าในตําแหน่งหน้าที่ และตําแหน่งพระฐานานุกรม เป็นความหมายที่กลายมาในภาษาไทย

การประสมคำ :

โปตฺถก + อาลย = โปตฺถกาลย (โปด-ถะ-กา-ละ-ยะ) แปลตามศัพท์ว่า “ที่อยู่ของหนังสือ” คือที่ซึ่งหนังสือมาอยู่รวมกัน โดยความหมายในปัจจุบันคือ ห้องสมุด = library

คนฺถ + สมูห = คนฺถสมูห (คัน-ถะ-สะ-มู-หะ) แปลตามศัพท์ว่า “ที่รวมกันของหนังสือ” คือที่ซึ่งหนังสือมารวมกันอยู่ โดยความหมายในปัจจุบันคือ ห้องสมุด = library

ขยายความ :

ขอยกข้อความเรื่อง ประวัติห้องสมุดในประเทศไทย จากเว็บไซต์แห่งหนึ่งมาเสนอเป็นความรู้ ขอปรับแก้สำนวนบ้างในที่บางแห่ง ข้อมูลข้อเท็จจริงท่านผู้อ่านพึงตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ที่นำมาเสนอนี้ถือว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น เว็บไซต์ต้นทางคือลิงก์ข้างล่างนี้

…………..

http://ctc-chontech.chontech.ac.th/external_newsblog.php?links=231

…………..

ประวัติห้องสมุดในประเทศไทย

สมัยสุโขทัย (พ.ศ.1800 – 1920) 

พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นในปี พ.ศ. 1826 ได้จารึกเรื่องราวต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินหรือเสาหิน … หลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชถือเป็นหนังสือเล่มแรกของไทย เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชส่งสมณทูตไปสืบศาสนาที่ลังกา ก็รับพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้าสู่กรุงสุโขทัย พร้อมทั้งคัมภีร์พระไตรปิฎก โดยสันนิษฐานว่าจารึกลงในใบลาน ดังนั้น ในเมืองไทยจึงมีการคัดลอกพระไตรปิฎกที่เรียกว่า การสร้างหนังสือ ทำให้มีหนังสือทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นจำนวนมากที่เรียกว่า หนังสือผูกใบลาน จึงสร้างเรือนเอกเทศสำหรับเก็บหนังสือทางพุทธศาสนา เรียกว่า หอไตร และในปลายสมัยกรุงสุโขทัยได้มีวรรณกรรมทางศาสนาที่สำคัญคือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 1 พญาลิไท

สมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.1893 – 2310) 

ได้มีการสร้างหอหลวงไว้ในพระบรมมหาราชวังเป็นที่สำหรับเก็บหนังสือของทางราชการ ต่อมาในปี พ.ศ.2310 ทั้งหอไตรและหอหลวงได้ถูกพม่าทำลายได้รับความเสียหาย

สมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ.2310 – 2325) 

พระเจ้าตากสินได้โปรดให้ขอยืมพระไตรปิฎกจากเมืองนครศรีธรรมราชมาคัดลอกและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอพระไตรปิฎกหลวง หรือเรียกว่า หอหลวง

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2325 – ปัจจุบัน)

1. หอพระมณเฑียรธรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอพระมณเฑียรธรรมขึ้นเมื่อ พ.ศ.2326 ในพระบรมมหาราชวังบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเก็บพระไตรปิฎกฉบับหลวง แต่ถูกไฟไหม้ จึงโปรดให้สร้างขึ้นใหม่และใช้นามเดิม

2. จารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และให้รวบรวมเลือกสรรตำราต่าง ๆ มาตรวจตราแก้ไขแล้วจารึกลงบนแผ่นศิลาประดับไว้ในบริเวณต่าง ๆ ของวัด มีรูปเขียนและรูปปั้นประกอบตำรานั้น ๆ แต่ที่รู้จักกันแพร่หลายคือ รูปปั้นฤๅษีดัดตนในท่าต่าง ๆ ที่ถือเป็นต้นตำรับการนวดและตำรายาไทย ซึ่งเป็นต้นตำรับการแพทย์แผนไทยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังมีความรู้อีกมากมายที่จารึกไว้ จนทำให้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย และได้รับการยกย่องให้เป็นห้องสมุดประชาชนแห่งแรกของไทย

3. หอพระสมุดวชิรญาณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2424 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

4. หอพุทธศาสนสังคหะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นที่วัดเบญจมบพิตร เมื่อ พ.ศ.2443 เพื่อเก็บหนังสือต่าง ๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

5. หอสมุดสำหรับพระนคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2448 โดยโปรดเกล้าฯ ให้รวมหอพระมณเฑียรธรรม หอพระสมุดวชิรญาณ และหอพุทธศาสนสังคหะเข้าเป็นหอเดียวกัน และพระราชทานนามว่า หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร

6. หอสมุดแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2468 โดยให้แยกห้องสมุดออกเป็น 2 หอ คือ แยกหนังสือตัวเขียน ได้แก่ สมุดไทย หนังสือจารึกลงในใบลาน สมุดข่อย ศิลาจารึก และตู้ลายรดน้ำ ไปเก็บไว้ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ซึ่งอยู่ในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ใช้สำหรับเก็บหนังสือตัวเขียน และเรียกว่า หอพระสมุดวชิรญาณ ส่วนหอสมุดที่ตั้งขึ้นที่ตึกถาวรวัตถุใช้เก็บหนังสือตัวพิมพ์ เรียกว่า หอพระสมุดวชิราวุธ

7. หอจดหมายเหตุ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2459 มีงานดังนี้

– งานจัดหาเอกสารและบันทึกเหตุการณ์

– งานจัดเก็บเอกสาร

– งานบริการเอกสาร

– งานซ่อมแซมและบูรณะเอกสาร

– งานไมโครฟิล์มและถ่ายสำเนาเอกสาร

…………..

ดูก่อนภราดา!

: มีเงินให้เขากู้

: มีความรู้อยู่ในหนังสือ

: มีคู่นั้นหรือก็ไปอยู่ต่างตำบล

: ยามต้องการย่อมขัดสน-มีก็เหมือนไม่มี

#บาลีวันละคำ (4,691)

16-4-68

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้