ปัจเจกโพธิ (บาลีวันละคำ 4,702)

ปัจเจกโพธิ
คำที่มาคู่กับ “พุทธภูมิ”
อ่านว่า ปัด-เจก-กะ-โพด
ประกอบด้วยคำว่า ปัจเจก + โพธิ
(๑) “ปัจเจก”
เขียนแบบบาลีเป็น “ปจฺเจก” อ่านว่า ปัด-เจ-กะ รูปคำเดิมมาจาก ปฏิ + เอก
(ก) “ปฏิ” อ่านว่า ปะ-ติ
ความรู้เกี่ยวกับคำว่า “ปฏิ-” :
“ปฏิ-” (ขีด – ข้างหลังหมายความว่าไม่ใช้ตามลำพัง แต่ใช้นำหน้าคำอื่นเสมอ) เป็นศัพท์จำพวกที่ภาษาไวยากรณ์เรียกว่า “อุปสรรค”
นักเรียนบาลีท่องจำคำแปลกันมาว่า “ปฏิ : เฉพาะ ตอบ ทวน กลับ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ปฏิ– : คําอุปสรรคในภาษาบาลีใช้นําหน้าศัพท์อื่น แปลว่า เฉพาะ เช่น ปฏิทิน, ตอบ เช่น ปฏิพากย์, ทวน เช่น ปฏิโลม, กลับ เช่น ปฏิวัติ. (ป.; ส. ปฺรติ).”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกความหมายของ “ปฏิ-” ว่า back (to), against, towards, in opposition to, opposite (กลับ, ตอบ, เฉพาะ, มุ่งไปยัง, ตรงกันข้าม, กลับกัน)
(ข) “เอก” บาลีอ่านว่า เอ-กะ รากศัพท์มาจาก อิ (ธาตุ = ไป, เป็นไป, ตั้งอยู่) + ณฺวุ ปัจจัย, แผลง อิ เป็น เอ, แปลง ณฺวุ เป็น อก
: อิ > เอ + ณฺวุ = เอณฺวุ > เอก แปลตามศัพท์ว่า (1) “ไปตามลำพัง” (คือไม่มีเพื่อนไปด้วย) (2) “ดำรงอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวเพราะไร้ผู้เหมือนกัน”
“เอก” ในบาลีใช้ใน 2 สถานะ คือ :
(1) เป็นสังขยา (คำบอกจำนวน) เช่น “ชายหนึ่งคน” เน้นที่จำนวน 1 คน = มุ่งจะกล่าวว่าชายที่เอ่ยถึงนี้มีเพียง “หนึ่งคน”
(2) เป็นคุณศัพท์ เช่น “ชายคนหนึ่ง” ไม่เน้นที่จำนวน = มุ่งจะกล่าวถึงชายคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
“เอก” หมายถึง หนึ่ง, หนึ่งเดียว, ดีที่สุด
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เอก, เอก– : (คำวิเศษณ์) หนึ่ง (จำนวน); ชั้นที่ ๑ (ใช้เกี่ยวกับลำดับชั้น หรือขั้นของยศ ตำแหน่ง คุณภาพ หรือวิทยฐานะ สูงกว่า โท) เช่น ร้อยเอก ข้าราชการชั้นเอก ปริญญาเอก; เรียกเครื่องหมายวรรณยุกต์รูปดังนี้ ‘่’ ว่า ไม้เอก; ดีเลิศ เช่น กวีเอก, สำคัญ เช่น ตัวเอก; (คำโบราณ) (คำนาม) เรียกลูกหญิงคนที่ ๗ ว่า ลูกเอก, คู่กับลูกชายคนที่ ๗ ว่า ลูกเจ็ด. (คำที่ใช้ในกฎหมาย). (ป., ส.).”
ปฏิ + เอก กระบวนการทางไวยากรณ์คือ “ปฏิ” เมื่อสนธิกับ “เอก” ให้แปลงรูปเป็น “ปจฺจ” (ปัด-จะ)
: ปฏิ > ปจฺจ + เอก = ปจฺเจก แปลตามศัพท์ว่า “เฉพาะหนึ่ง” หมายถึง เฉพาะ, ผู้เดียว, เดี่ยว, คนเดียวต่างหาก, แยก, หลายอย่าง, ต่างกัน (each one, single, by oneself, separate, various, several)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า
“ปัจเจก, ปัจเจก- : (คำแบบ) (คำวิเศษณ์) เฉพาะตัว, เฉพาะบุคคล, เช่น ปัจเจกชน. (ป.; ส. ปฺรเตฺยก).”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน (สะกดคำนี้เป็น “ปฺรตฺเยก”) บอกไว้ว่า –
“ปฺรตฺเยก : (กริยาวิเศษณ์) ‘ปรัตเยก,’ มคธว่า- ‘ปจฺเจก,’ เดี่ยว, คนเดียว, ทีละคน; singly, one, one by one at a time.”
(๒) “โพธิ”
บาลีอ่านว่า โพ-ทิ รากศัพท์มาจาก พุธฺ (ธาตุ = รู้) + อิ ปัจจัย, แผลง อุ ที่ พุ-(ธฺ) เป็น โอ (พุธฺ > โพธ)
: พุธฺ + อิ = พุธิ > โพธิ แปลตามศัพทว่า (1) “ธรรมชาติเป็นเครื่องรู้” (2) “สิ่งเป็นเหตุรู้” (3) “ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้”
ความหมายของ “โพธิ” ในบาลี –
(1) ความรู้อันยอดเยี่ยม, การตรัสรู้, ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงมี (supreme knowledge, enlightenment, the knowledge possessed by a Buddha)
(2) ต้นไม้ตรัสรู้, ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์, ต้นไม้จำพวกไทร (อสฺสตฺถ, ต้นอสัตถพฤกษ์) ซึ่งพระโคดมพุทธเจ้าบรรลุพระโพธิญาณ (the tree of wisdom, the sacred Bo tree, the fig tree (Assattha, Ficus religiosa) under which Gotama Buddha arrived at perfect knowledge)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“โพธิ-, โพธิ์ : (คำนาม) ความตรัสรู้; ชื่อต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า, บัดนี้หมายถึงต้นไม้จําพวกโพ. (ป., ส.).”
ปจฺเจก + โพธิ = ปจฺเจกโพธิ (ปัด-เจ-กะ-โพ-ทิ) แปลว่า “การตรัสรู้ธรรมเฉพาะตัว”
“ปจฺเจกโพธิ” ใช้ในภาษาไทยเป็น “ปัจเจกโพธิ” อ่านว่า ปัด-เจก-กะ-โพด พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“ปัจเจกโพธิ : (คำนาม) ความตรัสรู้เฉพาะตัว คือ ความตรัสรู้ของพระปัจเจกพุทธเจ้า. (ป.).”

ขยายความ :
พูดว่า “ปัจเจกโพธิ” เราไม่คุ้น แต่ถ้าพูดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้า” เราจะคุ้นกว่า แต่ทั้ง ๆ ที่คุ้นนี่แหละก็ยังมีคนเข้าใจผิดอยู่เป็นอันมาก
ข้อที่ควรเข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับพระปัจเจกพุทธเจ้า คือ –
๑ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะมีเฉพาะในช่วงพุทธันดร คือเวลาที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ปัจจุบัน พ.ศ.2568 โลกยังไม่ว่างจากพระพุทธศาสนา คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังปรากฏอยู่ หนทางดำเนินไปสู่พระนฤพานก็ยังปรากฏชัด ผู้ปฏิบัติขัดเกลาตนจนบรรลุความเป็นพุทธะก็ยังสามารถทำได้มีได้
ผู้บรรลุธรรมในช่วงเวลานี้จึงมีฐานะเป็น “อนุพุทธะ” คือผู้รู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ปัจจุบันวันนี้ถ้ามีใครประกาศว่ามีพระปัจเจกพุทธเจ้าเกิดขึ้นที่นั่นที่โน่น เราก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเท็จ นี่คือประโยชน์ของการรู้หลัก
คนที่ไม่รู้ก็อาจจะพลอยตื่นเต้นหลงเชื่อตามไป บางทีอ้างอิงด้วยว่าท่านผู้นั้นผู้นี้ก็ยืนยันว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าจริง ก็เลยไปกันใหญ่
๒ พระปัจเจกพุทธเจ้ามีได้หลายองค์ในช่วงเวลาเดียวกัน ต่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีได้คราวละองค์เดียว
๓ เนื่องจากพระปัจเจกพุทธเจ้าเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มนุษย์มีกิเลสหนาปัญญาหยาบ จึงเป็นการยากที่จะสั่งสอนคนทั้งหลายให้สิ้นกิเลสบรรลุธรรมได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถึงสอนไปก็ไม่มีใครเชื่อ จึงเข้าใจกันว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเฉพาะตัว ไม่มีความสามารถที่จะสั่งสอนหรือประดิษฐานศาสนาขึ้นได้
ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูคนในสมัยปัจจุบันที่ยังมีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏอยู่แท้ ๆ นี่แหละ มีคนเอาพระธรรมคำสอนมาแสดง มาบอกกันอยู่ทั่วไป –
คนส่วนมากก็ยังไม่ฟัง ซ้ำอ้างเหตุสารพัดที่จะไม่ฟัง เช่นอ้างว่าคนเอาธรรมะมาพูดพูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่ชวนฟังเป็นต้น
ถึงฟังก็ไม่เชื่อ
ถึงเชื่อก็ไม่คิดจะปฏิบัติตาม
ถึงปฏิบัติตามก็ปฏิบัติไปไม่ถึงเป้าหมายปลายทาง ละทิ้งเสียกลางคัน
นี่ขนาดยังไม่ใช่ช่วงเวลาพุทธันดร พระศาสนายังมีอยู่ ความคิดจิตใจคนยังเป็นแบบนี้ ถ้าถึงช่วงพุทธันดรคือโลกไม่รู้จักพระศาสนา ใครที่ไหนจะมาฟัง ต่อให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้บอกผู้สอนก็เถอะ
เมื่อสภาพเป็นจริงเป็นเช่นนี้ พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงไม่สอนใคร เพราะสอนไปก็เหนื่อยเปล่า
แถม :
ปฏิสมฺภิทา วิโมกฺขา จ
ยา จ สาวกปารมี
ปจฺเจกโพธิ พุทฺธภูมิ
สพฺพเมเตน ลพฺภติ ฯ
ปฏิสัมภิทา วิโมกข์
สาวกบารมี
ปัจเจกโพธิ และพุทธภูมิอันใด
อิฐผลทั้งหมดนั้นอันบุคคลย่อมได้ด้วยการสั่งสมบุญ
ที่มา: นิธิกัณฑสูตร ขุทกปาฐะ พระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 9
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เรื่องส่วนรวม อย่ารู้เฉพาะตัว
: เรื่องส่วนตัว อย่ารู้ไปถึงส่วนรวม
#บาลีวันละคำ (4,702)
27-4-68
…………………………….
…………………………….