บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ความชอบธรรมที่ไม่ชอบทำ

ความชอบธรรมที่ไม่ชอบทำ

——————–

พระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดียเป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมมาก ฆ่าพี่น้องต่างมารดาตั้ง ๑๐๐ คนเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ ทำสงครามขยายดินแดนจนเลือดท่วมแผ่นดิน เป็นเจ้าแห่ง “สังคามวิชัย” จนได้นามว่า “จัณฑาโศก” (อโศกจอมโหด)

แต่เมื่อทรงกลับพระทัยมานับถือพระพุทธศาสนา ก็เปลี่ยนเป็นคนละองค์ เป็นกษัตริย์ที่ส่งเสริมศีลธรรมอย่างสูงสุด สร้างวัดจนเต็มแผ่นดิน เป็นที่มาของชื่อรัฐ “พิหาร” ในอินเดียทุกวันนี้ เป็นเจ้าแห่ง “ธรรมวิชัย” ที่โด่งดังที่สุดของอินเดีย เป็นเหตุให้ได้พระนามว่า “ธรรมาโศก” (อโศกจอมธรรม) ประวัติศาสตร์ขานนามว่า Asoka the great เป็นผู้อุปถัมภ์การสังคายนาพระพุทธศาสนาในอินเดีย เป็นผู้อุปถัมภ์การส่งพระธรรมทูตไปยังนานาประเทศ รวมทั้งดินแดนที่เป็นประเทศของเราทุกวันนี้ด้วย

ความเป็นกษัตริย์ที่ส่งเสริมศีลธรรมอย่างสูงสุดนั้น ผมเคยจินตนาการว่า สมัยพระเจ้าอโศกมีตำรวจศีลธรรมด้วย

ตำรวจศีลธรรมมีหน้าที่ตรวจตราดูประชาชนพลเมืองว่าได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันเป็นปกติดีหรือเปล่า 

ตำรวจศีลธรรมมีอำนาจเข้าไปตรวจถึงห้องครัวห้องส้วมของทุกบ้านว่าสะอาดหรือสกปรก 

ตื่นขึ้นมาหุงข้าวใส่บาตรทันหรือเปล่า 

วันพระไปวัดกันหรือเปล่า 

วันอุโบสถรักษาศีลกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้รักษา เป็นเพราะอะไร ขัดข้องอย่างไรจึงถือศีลปฏิบัติธรรมไม่ได้ 

ถ้าหยุดงานไปวัดแล้วขาดรายได้ รัฐบาลจะจ่ายรายได้ที่ขาดไปนั้นให้เอง แต่ต้องไปวัด

พูดสั้นๆ พระเจ้าอโศกบังคับให้คนทำความดี

คนส่วนมากก็เหมือนเด็กที่อินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ต้องบังคับกันก่อน 

ต่อเมื่อคุ้นกับการทำความดีแล้วจึงปล่อย 

ต่อจากนั้นเขาจะทำดีได้ด้วยตัวเองเพราะมันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว 

และแน่นอน ถ้าไม่มีใครบังคับตั้งแต่ต้น เขาก็จะไม่มีวันรู้ว่าคนเราจะต้องทำความดีไปทำไม

—————-

ผมเคยถามพรรคพวกที่พอจะรู้กฎหมายว่า เทศบาลในประเทศไทยมีอำนาจที่จะออกเทศบัญญัติบังคับคนในเขตเทศบาลให้ทำอะไร หรือห้ามทำอะไร ที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ได้หรือไม่ 

ยกตัวอย่างเช่น ออกเทศบัญญัติห้ามเด็กออกจากบ้านหลังสองทุ่ม

พรรคพวกตอบว่า ทำไม่ได้ เพราะขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน

——————-

ผมอยู่ในเขตเทศบาล 

แถวบ้านที่ผมอยู่ ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม เด็กยังวิ่งเล่นกันเกรียวอยู่ข้างถนน 

บางคนยังอยู่ในชุดนักเรียน

ผิดกับลูกผม 

ลูกผมนั้นกลับจากโรงเรียนต้องเปลี่ยนชุดนักเรียนทันที 

ทำการบ้านเสร็จ ช่วยงานบ้าน หน้าที่ใครหน้าที่มัน

๕ โมงเย็น กำหนดไว้ในตารางเวลาว่าต้องออกไปเล่นนอกบ้าน 

๖ โมง กลับ ช่วยกันจัดเตรียมโต๊ะกินข้าว 

กินข้าวเสร็จ ช่วยกันเก็บโต๊ะ ทำเวรล้างชาม คว่ำชาม

จากนั้นเป็นชั่วโมงอิสระ ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือเสริม คุยกับแม่หรือฟังพ่อเล่านิทาน

๒ ทุ่ม เตรียมตัวสวดมนต์เข้านอน

ตื่น ๖ โมงเช้า เตรียมความพร้อมส่วนตัว กินข้าว

๗ โมง พร้อมไปโรงเรียน

๔ โมงเย็น กลับจากโรงเรียนถึงบ้าน 

เข้าวงรอบปกติ

ถามว่าลูกๆ อึดอัดกับตารางเวลาที่เป็นการบังคับเช่นนี้หรือไม่

ตอบว่า ไม่มีเลยครับ ทุกคนมีความสุข มีอิสระ 

ไปโรงเรียนเอง กลับเอง จนจบมัธยม ไม่เคยต้องไปรับไปส่ง 

มีสังคม ไม่คับแคบ 

พอเขารู้จักเดินด้วยตัวเอง ก็ไปดีกันทุกคน

ในเมืองไทย คงมีอีกมากมายหลายพื้นที่ ที่คล้ายๆ กับข้างบ้านผม 

คือ ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม เด็กยังวิ่งเล่นกันเกรียวอยู่ข้างถนน ไม่มีใครบังคับได้

อบต. อบจ. ก็บังคับไม่ได้

เทศบาลก็บังคับไม่ได้ 

รัฐบาลก็บังคับไม่ได้

เพราะขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน

สิทธิเสรีภาพที่จะไม่ต้องให้มีใครมาอบรมสั่งสอน

ถ้าเรายังอยู่กันเป็นสังคม การฝึกหัดขัดเกลาสมาชิกของสังคมให้ดำเนินไปในแนวทางที่ดีงามนั้น เป็นความชอบธรรมเหนือความชอบธรรมทั้งปวง

แต่ทำไมจึงไม่ทำ 

ทำไมจึงทำไม่ได้

เพราะไม่ชอบธรรม หรือเพราะไม่ชอบทำ ?

—————

เขียนเมื่อ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๗

————–

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๗ มกราคม ๒๕๕๘

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *