บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ความเสื่อมที่น่าเลื่อมใส

ความเสื่อมที่น่าเลื่อมใส

————————-

หมู่นี้ผมมี “เรื่องรกสมอง” ที่ต้องจัดระเบียบให้เรียบร้อยอยู่หลายเรื่อง เฉพาะที่บันทึกไว้กันลืมก็มี ๓ เรื่อง

ขออนุญาตเล่าสู่กันฟังสักเรื่องหนึ่งก่อน (แปลว่าน่าจะต้องเล่าเรื่องอื่นๆ ในภายหลังด้วย)

อนึ่ง ผมเป็นคนชนิดที่เรียกว่า “ทีฆนิกาย” คือพูดยาว

เพราะฉะนั้น ญาติมิตรที่จะอ่าน ขอได้โปรดจัดระเบียบเวลาไว้ล่วงหน้า และมีอุตสาหะในการอ่านให้มากกว่าธรรมดานะครับ

—————

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นคนบ้านเดียวกัน 

เรียนมาจากรั้ววัดเหมือนกัน 

จบการศึกษาทางธรรมในระดับเท่ากัน 

มียศทางทหารเหมือนกัน 

แต่ภายหลังท่านเปลี่ยนสายอาชีพไปเป็นนักวิชาการพลเรือน ในขณะที่ผมดำรงความเป็น “อาจารย์คำสอนน้อยๆ” ของกองทัพจนเกษียณอายุราชการ 

อาจเป็นเพราะท่านไปทางสายวิชาการ จึงทำให้การศึกษาทางโลกท่านเจริญก้าวหน้าอย่างน่าภาคภูมิใจ 

มีคำนำหน้านามเป็นอักษรไทยตัวที่ ๒๐ และตัวที่ ๓๕ 

สถาบันที่ท่านสังกัดอยู่เป็นสถาบันการศึกษาอันดับหนึ่งของประเทศ 

และชื่อของท่านนั้นถ้าเอ่ยออกมา ก็เชื่อว่าจะมีคนรู้จักกว่าค่อนประเทศในฐานะนักวิชาการ โดยเฉพาะวิชาการศาสนาหัวก้าวหน้า

แต่ผมออกชื่อท่านไม่ได้เพราะเรื่องที่กำลังจะเล่านี้

เรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านเรื่องที่ท่านโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก 

เป็นเรื่องที่ท่านเล่าถึงเรื่องราวในพระไตรปิฎก กล่าวถึงพระอรหันต์องค์หนึ่งสนทนาธรรมกับพระราชาองค์หนึ่ง 

ตามคำเล่าของท่านนั้น พระราชาองค์นี้กำลังประชวรถึงขนาดลุกไปไหนไม่ได้ ต้องบรรทมอยู่บนพระแท่นตลอดเวลา พระอรหันต์องค์นั้นต้องเข้าไปสนทนากันใกล้ๆ พระแท่นบรรทม

รายละเอียดตรงนี้แสนจะธรรมดา ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร จุดสำคัญที่ท่านผู้เล่าต้องการนำเสนออยู่ที่ข้อธรรมะที่สนทนากัน

จะเป็นเหตุบังเอิญหรืออะไรก็ตาม พอดีว่าพระสูตรที่เล่าเรื่องนี้ผมเพิ่งจะอัญเชิญออกมาศึกษา เนื่องจากมีนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านไปได้ฟังข้อความมาข้อหนึ่งเป็นใจความว่า

ทรัพย์ทำให้อายุยืนไม่ได้

ป้องกันความชราด้วยทรัพย์ก็ไม่ได้

ท่านถามผมว่า ความข้อนี้มีในพระไตรปิฎกหรือเปล่า 

ผมตอบไปว่า คลับคล้ายคลับคลาว่ามี 

เป็นเหตุให้ผมต้องค้นหาเพื่อสนองคำถามท่าน 

เมื่อค้น ก็ไปเจอว่ามีอยู่ในพระสูตรชื่อ รัฏฐปาลสูตร (รัด-ถะ-ปา-ละ-) เป็นคำของพระอรหันต์ชื่อรัฏฐปาละ กล่าวออกมาในการสนทนาธรรมกับพระเจ้าโกรัพยะ 

ผมก็เลยจัดแจงขัดเกลาสำนวนแปลของเดิมที่ผมรู้สึกเอาเองว่าอ่านเข้าใจยาก ให้อ่านง่ายขึ้น แล้วก็ส่งไปให้นายทหารผู้ใหญ่ท่านนั้น 

เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ทำให้ผมยังพอจำเรื่องราวในพระสูตรได้แจ่มชัด

พอมาได้อ่านโพสต์ของเพื่อนผู้นั้นตอนที่ว่า พระราชาองค์นี้กำลังประชวรถึงขนาดลุกไปไหนไม่ได้ ต้องบรรทมอยู่บนพระแท่น 

ก็สะดุดใจ เพราะจำได้ว่าในพระสูตรไม่ได้บอกไว้แบบนี้ 

ความในพระสูตรระบุชัดเจนว่า พระเจ้าโกรัพยะเสด็จโดยรถทรงเข้าไปหาพระรัฏฐปาละในพระราชอุทยาน 

ลงจากรถแล้วยังทรงพระดำเนินเข้าไปยังที่ซึ่งพระเถระพักอยู่ 

ในพระไตรปิฎกใช้คำว่า ปตฺติโกว (ปัด-ติ-โก-วะ) แปลว่า “เดินเท้าไปจริงๆ” 

เป็นข้อมูลที่ชัดเจนว่าพระเจ้าโกรัพยะมิได้ประชวรถึงขนาดลุกไปไหนไม่ได้ ต้องบรรทมอยู่บนพระแท่น ดังที่ท่านผู้เป็นเพื่อนผมเขียนโพสต์ลงไปแต่ประการใด

ด้วยความหวังดี ผมก็เลยตัดตอนข้อความในพระสูตรตรงที่ต่างจากเรื่องที่ท่านเล่าส่งไปให้ท่านดู เป็นเสมือนเตือนความจำ โดยคาดว่าเมื่อท่านเห็นแล้วจะร้องออกมาว่า “ตายจริง พลาดเสียแล้ว เดี๋ยวจะรีบแก้ไข

ปรากฏว่าท่านไม่ได้ตกใจอย่างที่ผมคาด หรืออย่างที่ถ้าเป็นผม ผมจะต้องตกใจ 

ท่านไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงแต่ประการใด ท่านบอกว่า “ตั้งใจเขียนให้อ่านเพลิน ๆ” 

เหมือนไม่ได้รับรู้ว่าเรื่องที่ท่านเล่าในโพสต์ไม่ตรงตามพระไตรปิฎก ทั้งๆ ที่ท่านบอกเองไว้ตอนเริ่มโพสต์ว่า “เรื่องจริงในพระไตรปิฏก”

จบเรื่องแค่นี้ครับ

ต่อไปนี้เป็นความเห็นของผม

การนำเอาเรื่องราวและหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนามาแสดง เท่าที่ผมสังเกตเห็นในปัจจุบันนี้มักจะเป็นดังต่อไปนี้ –

๑ แสดงไม่ตรงกับหลักฐาน ดังตัวอย่างที่ผมยกมาเล่าข้างต้น

ผมเห็นว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องร้ายแรง

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เขียนให้อ่านเล่นเพลินๆ หรือเขียนให้เป็นวิชาการ

แต่อยู่ที่เขียนไม่ตรงกับหลักฐาน

คำสอนทางพระพุทธศาสนาที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาพูดกันเล่นเพลินๆ ครับ แต่ต้องพูดให้ตรงตามที่ปรากฏในหลักฐาน

ทั้งนี้เว้นไว้แต่ผู้เขียนได้ประกาศอย่างชัดแจ้งว่า เป็นเรื่องแต่ง ไม่ใช่เรื่องจริงตามคัมภีร์ 

เช่นนิยายเรื่อง กามนิต เป็นต้น 

ในเรื่องกามนิตนั้น เรื่องคุลิมาลผิดกันอย่างฉกรรจ์กับองคุลิมาลในคัมภีร์ฝ่ายเถรวาท เช่น 

– เมืองที่เกิดเรื่ององคุลิมาลในคัมภีร์คือเมืองสาวัตถี ไม่ใช่เมืองโกสัมพี 

– พระเจ้าแผ่นดินในเรื่องคือพระเจ้าปเสนทิโกศล ไม่ใช่พระเจ้าอุเทน 

– องคุลิมาลในคัมภีร์ไม่เคยถูกจับติดคุกอย่างองคุมาลในกามนิต – เป็นต้น

แต่เมื่อจะศึกษาประวัติขององคุลิมาลอย่างเป็นวิชาการ ย่อมไม่มีใครอ้างอิงเรื่องกามนิตเป็นข้อมูล เพราะเป็นที่รู้กันว่ากามนิตเป็นนิยาย ไม่ใช่เรื่องจริง

แต่การนำเอาพระธรรมมาแสดง เป็นเรื่องจริงครับ 

จะเล่าสนุกไปตามใจชอบเหมือนนิยายไม่ได้ 

แม้จะเป็นรายละเอียดประกอบเรื่อง ก็ต้องแสดงไปตามจริง ไม่ใช่ไปดัดแปลงเพื่อให้อ่านเพลินๆ

๒ อีกลักษณะหนึ่งที่ชอบประพฤติกันมาก คือยกข้อความมาพูดแล้วบอกว่าเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อย่างที่เรียกกันว่า “จับใส่พระโอษฐ์

ยกตัวอย่างคำหนึ่งที่โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ผมสะดุดใจจนต้องบันทึกไว้ ขอคัดมาให้ดูในที่นี้

…..

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“นิ้วมือแต่ละนิ้วยังสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใด

มนุษย์เราก็ย่อมมีความแตกต่างกันฉันนั้น”

(Karn SaNgern โพสต์เมื่อ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖)

……….

ท่านผู้ยกมาอ้างไม่ได้บอกที่มา (“ที่มา” คือ อาคตสถาน – reference) เอาไว้

คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรารู้เห็นกันทุกวันนี้ท่านบันทึกไว้เป็นคัมภีร์ที่เรียกว่า พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาต่างๆ

ผมพยายามค้นหาข้อความนี้ในคัมภีร์ต่างๆ เท่าที่พอจะมีสติปัญญาค้นได้ 

จนวันนี้ก็ยังไม่พบว่า “พระพุทธเจ้าตรัสว่า..” อย่างนี้ไว้ในที่ไหน 

หรือว่าจะยกมาจากคัมภีร์ของฝ่ายมหายานก็ไม่ทราบ

ถ้าเป็นเพราะความอ่อนด้อยของผม เพราะอ่านไม่ละเอียดหรือค้นคว้าไม่ทั่วถึงเอง ก็ขออภัย ขอท่านผู้รู้ได้โปรดชี้แนะด้วยครับ

๓ อีกแบบหนึ่งที่ทำกันอยู่ คือยกเรื่องราวมาเล่าอย่างละเอียดว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ไหน ตรัสกับใครว่าอย่างไร เป็นอย่างพระสูตรอะไรเรื่องหนึ่ง อ่านแล้วก็พอเดาได้ว่าเป็นพระสูตรทางฝ่ายมหายาน 

แต่ผู้นำมาเล่าไม่ได้บอกที่มาให้ชัดเจนว่านำมาจากคัมภีร์ของฝ่ายไหน (เถรวาทหรือมหายาน) 

ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานทางพระพุทธศาสนาก็รับรู้แบบรวมๆ ไปว่าเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า

เรื่องที่นำมาจากต่างนิกาย ผู้รู้ท่านจะต้องแสดงที่มาไว้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าท่านกำลังจะเล่าเรื่องของใครฝ่ายไหน ผู้ฟังจะได้ตั้งหลักได้ตั้งแต่ต้นทาง และไม่สับสน 

ถ้าเอามาพัลวันกันอย่างนี้ ต่อไปเถรวาทก็คงมีแดนสุขาวดีเหมือนในมหายาน

๔ แบบที่กำลังเป็นที่นิยมมากอยู่ในเวลานี้ก็คือ ยกเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือขึ้นมาแสดงในลักษณะที่ชวนให้เข้าใจว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อันเป็นอาการที่เรียกกันว่า “นับถืออาจารย์ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า”

ทั้งๆ ที่เป็นคำสอนของอาจารย์ แต่ก็อยากจะให้คนเข้าใจว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย

——————

การนำเสนอในลักษณะดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ผู้นำเสนอต้องการจะแสดงเรื่องราวและหลักคำสอนอันใดอันหนึ่ง และย่อมมีเจตนาจะให้เข้าใจว่าเรื่องราวและหลักคำสอนนั้นๆ เป็นเรื่องที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนาหรือเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ เสมือนหนึ่งต้องการให้ประทับตรา “พระพุทธศาสนา” ลงไปในข้อความที่ตนนำมาแสดงเพื่อเป็นการรับรองคุณภาพนั่นเอง

แต่เรื่องราวและหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เองลอยๆ 

หรือใครนึกอยากจะอ้างพระพุทธเจ้าก็อ้างกันตามสบาย 

แต่จะต้องมีหลักฐานที่ไปที่มา ที่เรียกเป็นคำรวมว่า “คัมภีร์”

คัมภีร์ในพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎก หรืออรรถกถาฎีกาชั้นไหนก็ตาม เป็นหลักฐานสำคัญรองรับเรื่องราวและคำสอนในพระพุทธศาสนา 

พูดตามสำนวนโบราณก็ว่า “เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์” ชนิดหนึ่ง

คัมภีร์ใบลานซึ่งวิวัฒนาการมาเป็นคัมภีร์เทศน์ เป็นแหล่งที่บันทึกคำสอนในพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ชาวพุทธเคารพนับถือมาก 

เวลาจะนำคัมภีร์ไปในที่ไหนๆ โบราณท่านใช้กิริยา “แบก” ไป 

แสดงถึงความเป็นของหนัก คือของที่ต้องให้ความสำคัญ 

ถ้าพระผู้เทศน์มิได้แบกไปเอง แต่มีศิษย์เป็นคนแบก ศิษย์ต้องแบกคัมภีร์นำหน้าพระ พระที่รู้ธรรมเนียมท่านก็จะไม่เดินนำหน้าคัมภีร์ 

และก่อนจะจับคัมภีร์ขึ้นเทศน์ ท่านจะน้อมไหว้คัมภีร์ก่อนเสมอ 

ที่ว่ามานี้เป็นการให้ความสำคัญแก่คัมภีร์ทางรูปธรรม

การเคารพหรือให้ความสำคัญแก่คัมภีร์ในทางนามธรรมหรือทางเนื้อหา ก็คือ เมื่อจะนำพระธรรมไปแสดง ก็มีหลักว่าต้องแสดงให้ตรงตามที่ปรากฏในคัมภีร์ ไม่บิดเบือนเปลี่ยนแปลงไปตามใจชอบ เป็นวิธีรักษาคำสอนให้ถูกต้องตรงตามที่นำสืบกันมา 

แนวปฏิบัติเช่นนี้มิได้หมายความว่าห้ามผู้ศึกษาหรือผู้ฟังคิดเป็นอย่างอื่น 

ต้องคิดต้องเชื่อตามที่คัมภีร์เขียนไว้เท่านั้น 

คิดต่างก็ได้ครับ

แล้วก็มิได้แปลว่าติดคัมภีร์ อะไรๆ ก็เอาแต่อ้างคัมภีร์

แต่ที่ต้องทำเช่นนี้เป็นการเคารพต่อหลักการ และหลักฐาน

เพราะเรื่องราวและคำสอนในพระพุทธศาสนามิใช่เป็นสิ่งที่เราคิดกันขึ้นมาเองเมื่อวานนี้

แต่เป็นสิ่งที่ได้มีมานานนักหนาแล้ว มีหลักฐานปรากฏอยู่

และการศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนา (หรือแม้หลักวิชาการใดๆ ก็ตาม) นั้น ผู้รู้ท่านวางแนวไว้ว่า –

๑ ข้อความในคัมภีร์กล่าวไว้อย่างไร ให้ศึกษาหรือแสดงไปตามนั้นอย่างซื่อตรง

๒ ต่อจากนั้น ถ้าผู้ศึกษาหรือผู้นำมาแสดงมีความคิดอย่างไร เห็นอย่างไร เข้าใจว่าอย่างไรกับข้อความในคัมภีร์ ก็แยกออกมาว่าไว้ต่างหาก 

จะเชื่อตาม หรือจะไม่เห็นด้วย ก็เป็นสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ ขอเพียงให้ตรงไปตรงมา 

คัมภีร์ว่าไว้อย่างไรก็ว่าไปตรงๆ 

เราเห็นอย่างไร ก็แยกไว้เป็นส่วนความเห็นของเรา อย่าเอาไปปนกัน 

คนที่มาได้อ่านได้ฟังภายหลัง จะได้รู้ว่าเรื่องเดิมว่าอย่างนี้ ความเห็นของเราว่าอย่างนี้ 

การไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรื่องเดิม ท่านถือว่าเป็นการประทุษร้ายทางปัญญา มีโทษร้ายแรง

คนส่วนมากทุกวันนี้ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวและคำสอนในพระพุทธศาสนา ก็เป็นแต่ได้ยินได้ฟังได้อ่านตามที่มีผู้นำมาแสดง 

ถ้าชอบใจก็เชื่อถือตามนั้น 

น้อยนักที่จะตามไปศึกษาสอบสวนให้ถึงต้นเค้าว่า จริงๆ แล้วในคัมภีร์ท่านแสดงไว้เป็นอย่างไร 

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้นำเรื่องมาแสดงไม่มีความซื่อตรง 

นำสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสอนมาอ้างว่าเป็นคำพระพุทธเจ้าตรัส 

หรือนำสิ่งที่ท่านกล่าวไว้อย่างหนึ่งมาแสดงเป็นอีกอย่างหนึ่ง 

ก็จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจจริงเป็นเท็จ เข้าใจเท็จเป็นจริง ทำให้เกิดความเห็นผิด เป็นผลร้ายต่อความรู้ความเข้าใจ

นี่คือที่ท่านว่าเป็นการประทุษร้ายปัญญา

ถ้าแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรื่องในคัมภีร์กันได้ตามใจชอบ เรื่องราวและหลักคำสอนก็จะผิดเพี้ยนไปจากเดิม จะไม่มีใครรู้ว่าคำสอนเดิมว่าอย่างไร 

ในที่สุดพระพุทธศาสนาที่แท้จริงก็จะสูญหมด 

เหลือแต่คำสอนที่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว 

และเมื่อแก้ในชั้นหนึ่งได้ ก็คงจะแก้กันไปได้เรื่อยๆ 

คำสอนที่ว่า การโกงเป็นความชั่ว 

อาจกลายเป็นว่า การโกงเป็นความดี ไปในที่สุด

สภาพที่ว่านี้ยังไม่เกิดขึ้นในวันนี้พรุ่งนี้หรอกครับ แต่ถ้ายังประทุษร้ายปัญญากันไปอย่างนี้เรื่อยๆ ก็เท่ากับเร่งให้ถึงวันนั้นเร็วขึ้น

ผมขอให้ลองนึกถึงเรื่องที่เป็นแนวเทียบดังต่อไปนี้ –

๑ เรื่องศรีธนญชัย เดิมน่าจะมีตัวจริงและมีเรื่องจริงอยู่บ้าง 

แต่เมื่อเล่าขานกันต่อๆ มานานเข้า 

แต่งเติมกันเข้าไปเรื่อยๆ 

จนทุกวันนี้กล่าวได้ว่าเรื่องศรีธนญชัยเป็นนิทานไปแล้วโดยสมบูรณ์ คือจะยึดถือเอาเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีอะไรไม่ได้เสียแล้ว ทั้งๆ ที่เดิมอาจมีเรื่องจริงอยู่ด้วย

๒ ใกล้เข้ามาอีก เรื่องสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พฺรหฺมรํสี 

อันนี้มีตัวจริงแน่นอน มีหลักฐานทั้งเอกสาร บุคคล และสถานที่ในประวัติศาสตร์ 

แต่ทุกวันนี้ได้มีผู้นำเอาเรื่องราวของท่านไปเขียนเล่าต่อเติมออกไปอย่างพิสดาร จนยากที่เชื่อว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนปลอม 

มีการยกเอาคำพูดคำเทศนาต่างๆ มาแสดงว่าเป็นคำของท่าน 

แม้แต่กลอนที่ว่า “อันยศลาภหาบไปไม่ได้แน่ เว้นเสียแต่ต้นทุนบุญกุศล …” ก็มีผู้จับใส่ปากสมเด็จโตไปเรียบร้อยแล้ว คือบอกว่ากลอนบทนี้เป็นของสมเด็จโต

วันนี้ถ้าจะตรวจสอบเรื่องจริง คำพูดจริงๆ ของสมเด็จโต ถามว่าจะทำอย่างไรกัน จะไปสืบสอบหาหลักฐานที่ไหนได้บ้างว่าอันไหนเป็นเรื่องจริง อันไหนเป็นเรื่องปลอม และจะรับรองยืนยันกันได้อย่างไร

ถ้าไม่มีใครชำระสะสางประวัติของสมเด็จโตให้เป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้แน่นอน หรืออย่างเป็นทางการไว้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ก็เชื่อได้ว่าวันข้างหน้าเรื่องราวของท่านก็จะกลายเป็นนิทานอย่างเรื่องศรีธนญชัยไปอีกคนหนึ่ง คือก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าที่ยึดถือเอาเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีอะไรไม่ได้ ทั้งๆ ที่ท่านมีตัวตนอยู่จริง และเรื่องราวหลายๆ เรื่องของท่านเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

๓ ใกล้เข้ามาอีกหน่อย พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “องค์บิดาของทหารเรือไทย” ก็มีผู้นำเอาเรื่องราวของพระองค์ท่านไปเล่าขานกันอย่างกว้างขวาง 

โดยเฉพาะเอกสารที่เรียกกันว่า “บันทึกของเสด็จในกรมฯ” อันมีคำขึ้นต้นว่า “เจอบันทึกนี้ ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรับรู้ว่า กู กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ..” 

ข้อความนี้มีผู้นำไปเผยแพร่ทั่วไป 

แต่เมื่อได้ตรวจสอบทั้งจากเอกสารและบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะจากทางราชสกุลอาภากรแล้ว ยืนยันได้ว่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ไม่เคยเขียนบันทึกนี้ 

แต่มีผู้อื่นเขียนขึ้นในภายหลังแล้วอ้างว่าเป็นบันทึกของท่าน 

ทุกวันนี้บันทึกนี้ถูกนำไปอ้างว่าเป็นคำของกรมหลวงชุมพรฯ ชนิดกู่ไม่กลับไปแล้ว 

ไปบอกใครว่าไม่ใช่ ก็ไม่มีคนเชื่อ 

มีแต่คนเชื่อว่าใช่

๔ ขยับเข้ามาให้ติดตัวของพวกเราในทุกวันนี้ คือเรื่องราวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน โดยเฉพาะพระราชจริยาวัตรหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับพระองค์ท่านที่มีผู้เล่าขานหรือเขียนขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร (เฉพาะที่โพสต์ลงในเฟซบุ๊กนี้เองก็ปรากฏให้เห็นอยู่เนืองๆ) 

ถามว่า มีใครยืนยันได้หรือไม่ว่าไหนเป็นเรื่องจริง ไหนเป็นเรื่องเล่าเสริมเติมแต่งกันเอง

ถ้าไม่มีหน่วยงานไหนรวบรวม “เรื่องเล่าเกี่ยวกับในหลวง” ขึ้นไว้ให้เป็นหลักฐานอย่างเป็นทางการ ก็เชื่อได้ว่าในอนาคตเรื่องราวของพระองค์ท่านก็จะกลายสภาพเป็นนิทานไปอีกอย่างแน่นอน

เรื่องที่ยกมาเป็นแนวเทียบทั้ง ๔ เรื่องนี้ มีช่องโหว่หรือจุดอ่อนตรงที่ไม่มีหลักฐานที่ได้ตรวจสอบและจัดทำขึ้นไว้เป็นที่อ้างอิงอย่างเป็นทางการ 

จึงเป็นช่องทางให้คนเอาไปต่อเติมบอกเล่าเผยแพร่ได้โดยอิสระ 

เพราะไม่มี “หลักฐานระดับปฐมภูมิ” เอาไว้ให้ตรวจสอบยืนยันได้นั่นเอง

แต่เรื่องราวและคำสอนในพระพุทธศาสนา-โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเถรวาทที่นับถือกันอยู่ในบ้านเมืองของเรา-มิใช่เช่นนั้น 

เรามี “หลักฐานระดับปฐมภูมิ” คือพระไตรปิฎกอยู่ครบครัน แล้วยังมีหลักฐานชั้นรองๆ ลงไป คือคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ต่างๆ อีกเป็นอันมาก ที่บูรพาจารย์ของพระพุทธศาสนาได้อุตสาหะจดจำและรวบรวมขึ้นไว้เป็นหมวดหมู่และรักษาสืบทอดมาจนถึงมือของพวกเราในทุกวันนี้

เมื่อมีใครนำเรื่องราวและคำสอนในพระพุทธศาสนามาบอก มาเล่า มาแสดง เราจึงสามารถตรวจสอบไปยัง “หลักฐานระดับปฐมภูมิ” ได้เสมอ

แต่ก็เกิดปัญหาในลักษณะใหม่ นั่นคือ

๑ มีการนำเรื่องราวและคำสอนในพระพุทธศาสนามาบอก มาเล่า มาแสดงอย่างไม่ตรงไปตรงมา ตามที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้ข้างต้นโน้น

๒ ผู้ฟังส่วนมากไม่มีอุตสาหะที่จะตามไปศึกษาสอบสวนกับคัมภีร์ต่างๆ ว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่พอใจที่จะเชื่อตามที่ได้รับฟัง 

จึงเป็นช่องทางให้มีผู้นำเอาเรื่องราวและคำสอนในพระพุทธศาสนามาบอก มาเล่า มาแสดงได้ตามสบาย ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครทักท้วง เพราะผู้ที่ฟังแล้วเชื่อตามมีมากกว่า

จึงต้องขอร้องบรรดาท่านทั้งปวงที่มีฉันทะในการนำเอาเรื่องราวและคำสอนในพระพุทธศาสนามาบอก มาเล่า มาแสดงว่า ขอได้โปรดซื่อตรงเป็นเบื้องต้น แล้วกระทำการอย่างรอบคอบ 

โดยเฉพาะท่านที่มีดีกรีทางการศึกษาเป็นเครื่องประดับ ยิ่งต้องรอบคอบเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่ท่านทำพูดคิดออกไปย่อมจะมีคนเชื่อตามได้ง่ายและได้มาก

ให้ปัญญาได้มากปานใด ก็ประทุษร้ายทางปัญญาได้มากปานนั้น

เราท่านในฐานะผู้รับหรือผู้บริโภคก็ต้องช่วยกันรู้ทันด้วย 

เห็นใครนำเรื่องราวหลักธรรมใดๆ มาแสดง ประทับตรา “พระพุทธศาสนา” ก็ฟังไว้ แต่อย่าเพิ่งศรัทธาเลื่อมใสทันที 

โปรดตรวจสอบที่ไปที่มาให้รอบคอบเสียก่อน

ความเสื่อมหลายๆ อย่าง มักแฝงมาพร้อมกับความน่าเลื่อมใสครับ

๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *