บาลีวันละคำ

นินทากาเล (บาลีวันละคำ 4,775)

นินทากาเล

…เหมือนเทน้ำ

อ่านเท่าตัวว่า นิน-ทา-กา-เล

แยกคำตามที่ตาเห็นเป็น นินทา + กาเล 

(๑) “นินทา” 

เขียนแบบบาลีเป็น “นินฺทา” (มีจุดใต้ นฺ) อ่านว่า นินฺ-ทา รากศัพท์มาจาก นิทิ (ธาตุ = ติเตียน) + (อะ) ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมกลางธาตุแล้วแปลงนิคหิต เป็น (นิทิ > นึทิ > นินฺทิ), “ลบสระหน้า” คือลบ อิ ที่ (นิ)-ทิ (นิทิ > นิท) + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ 

: นิทิ > นึทิ > นินฺทิ > นินฺท + = นินฺท + อา = นินฺทา แปลตามศัพท์ว่า “การติเตียน” หมายถึง การนินทา, การตำหนิ, การหาความ, การติเตียน, ความผิด, ความเสียชื่อ (blame, reproach, fault-finding, fault, disgrace) 

เพื่อความเข้าใจกว้างขึ้น ควรรู้เพิ่มเติมว่า “นินฺทา” คำกริยา (ปัจจุบันกาล เอกพจน์ ปฐมบุรุษ หรือบุรุษที่หนึ่ง = สิ่งหรือผู้ที่ถูกพูดถึง) เป็น “นินฺทติ” (นิน-ทะ-ติ) แปลว่า นินทา, หาเรื่อง, ติเตียน, ตำหนิ (to blame, find fault with, censure)

บาลี “นินฺทา” สันสกฤตก็เป็น “นินฺทา” 

สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –

นินฺทา: (คำนาม) ‘นินทา,’ ครหา, การหาเรื่อง; บีฑา, การเบียดเบียน; ความชั่ว; censure, reproach; injury, injuring; wickedness.”

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

นินทา : (คำนาม) คําติเตียนลับหลัง. (คำกริยา) ติเตียนลับหลัง. (ป., ส. นินฺทา ว่า การติเตียน).”

(๒) “กาเล

อ่านเท่าตัวว่า กา-เล รูปคำเดิมเป็น “กาล” บาลีอ่านว่า กา-ละ รากศัพท์มาจาก กลฺ (ธาตุ = นับ, คำนวณ, สิ้นไป) + ปัจจัย, ลบ , ทีฆะ อะ ที่ -(ลฺ) เป็น อา (กลฺ > กาล

: กลฺ + = กลณ > กล > กาล (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “เครื่องนับประมาณอายุเป็นต้น” “ถูกนับว่าล่วงไปเท่านี้แล้ว” “ยังอายุของเหล่าสัตว์ให้สิ้นไป” หมายถึง เวลา, คราว, ครั้ง, หน

กาล” ที่หมายถึง “เวลา” (time) ในภาษาบาลียังใช้ในความหมายที่ชี้ชัดอีกด้วย คือ :

(1) เวลาที่กำหนดไว้, เวลานัดหมาย, เวลาตายตัว (appointed time, date, fixed time)

(2) เวลาที่เหมาะสม, เวลาที่สมควร, เวลาที่ดี, โอกาส (suitable time, proper time, good time, opportunity)

(3) มรณกาล, ความตาย (time of death, death)

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

กาล ๑, กาล– : (คำนาม) เวลา, คราว, ครั้ง, หน. (ป., ส.).” 

กาล” แจกด้วยวิภัตตินามที่เจ็ด (สัตตมีวิภัตติ) ปุงลิงค์ เอกวจนะ เปลี่ยนรูปเป็น “กาเล” แปลว่า “ในกาล” หมายถึง ตามเวลาที่เหมาะสม, ตามเวลาที่สมควร

แทรก-แถม :

ที่พูดกันว่า “บาลีเป็นภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย” มีความหมายเช่นนี้ คือรูปคำเดิมเป็นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเอาไปพูดหรือเขียนเป็นข้อความ ต้องเปลี่ยนรูปเป็นอีกอย่างหนึ่งแล้วแต่ความหมายที่ต้องการจะพูด 

การเปลี่ยนรูปนั้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในบาลีไวยากรณ์ การเรียนบาลีที่พูดกันว่ายากๆ นั้นก็ยากตรงนี้ คือตรงที่ต้องกำหนดจดจำหลักเกณฑ์และวิธีการทางไวยากรณ์ได้แม่นยำ เห็นรูปคำแล้วเห็นไวยากรณ์ติดมาด้วยทันที

นินทา + กาเล = นินทากาเล แปลโดยประสงค์ว่า “ตำหนิติเตียนในเวลาที่ควรตำหนิ

อภิปรายขยายความ :

ที่แสดงรากศัพท์และความหมายมานี้ เป็นการแสดงอย่างที่เรียกว่า “พาซื่อ” คือแสดงไปตามที่ตาเห็น ไม่คิดเป็นอย่างอื่น

แต่ตามที่ควรจะเป็นนั้น คำว่า “กาเล” ที่มาต่อท้าย “นินทา” นั้น เป็นคำที่นิยมเรียกกันว่า “คำสร้อย” คือคำที่เติมเข้ามาเพื่อให้มีเสียงคล้องจองกับคำหลักโดยที่อาจไม่มีความหมายอะไรเลย 

คำหลักคือ “นินทา” คำสร้อยคือ “กาเล” พูดควบกันเป็น “นินทากาเล” โดยที่ “กาเล” ไม่มีความหมายอะไร นอกจากเพื่อให้คล้องจองกัน

คำสร้อยเช่นนี้บางทีเรียก “คำสร้อยสี่พยางค์” เพราะเมื่อพูดควบกันแล้วมักจะมี 4 พยางค์ เช่น

– กินอยู่พูวาย

– ถ้วยชามรามไห

– นิยมนิยาย

(ใครนึกคำอะไรได้อีกก็ลองเอามาเติมดูเถิด)

อีกแง่หนึ่ง คำว่า “กาเล” อาจจงใจแผลง “กาล” ให้เป็น “กาเล” เพื่อให้ได้สัมผัสกับคำต่อไปที่นิยมพูดกันเป็นกลอนวรรคหนึ่งว่า “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ” คือ “กาเล” สัมผัสกับ “เทน้ำ” 

คำว่า “เทน้ำ” นั้น ชวนให้นึกไปว่า คำว่า “นินทา” รูปคำใกล้กับ “นินฺนา” (นิน-นา) แปลว่า ที่ลุ่ม, ที่ซึ่งน้ำไหลไปรวมกัน ลากเข้าความได้ว่า “นินทา” คือ “นินฺนา” คือสายน้ำ คือน้ำไหล “นินทา” จึงเหมือนกับ “เทน้ำ” ออกจากปาก สอดคล้องกับคำว่า “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ”

ทั้งหมดนี้เป็นจินตนาการที่ออกมาจากคำว่า “นินทากาเล” 

แถม :

นินทากาเล” ที่ควรศึกษาเรียนรู้ให้กว้างขึ้นท่านแสดงไว้ในโลกธรรมสูตร

ขออาศัยบาลีวันละคำเป็นเวทีประกาศธรรม โดยนำพระพุทธพจน์จากโลกธรรมสูตรเฉพาะที่เป็นบทคาถามาเสนอพร้อมทั้งคำแปลเป็นธรรมบรรณาการดังต่อไปนี้ –

…………..

ลาโภ  อลาโภ  จ  ยสายโส  จ 

นินฺทา  ปสํสา  จ  สุขํ  ทุกฺขญฺจ

เอเต  อนิจฺจา  มนุเชสุ  ธมฺมา 

อสสฺสตา  วิปริณามธมฺมา.

ลาภ 1 เสื่อมลาภ 1 ยศ 1 เสื่อมยศ 1 

นินทา 1 สรรเสริญ 1 สุข 1 ทุกข์ 1 

สัจธรรมอันไม่แน่นอนทั้ง 8 เหล่านี้มีอยู่ในหมู่มนุษย์

ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา 

เอเต  จ  ญตฺวา  สติมา  สุเมโธ

อเวกฺขติ  วิปริณามธมฺเม 

อิฏฺฐสฺส  ธมฺมา  น  มเถนฺติ  จิตฺตํ 

อนิฏฺฐโต  โน  ปฏิฆาตเมติ.

ท่านผู้มีปัญญา มีสติ รู้เท่าทันสัจธรรมเหล่านี้ 

พิจารณาเห็นว่ามีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

สิ่งที่น่าปรารถนาเขย่าหัวใจของท่านไม่ได้ 

สิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ท่านก็ไม่ขัดข้องขุ่นเคือง

ตสฺสานุโรธา  อถ  วา  วิโรธา

วิธูปิตา  อตฺถคตา  น  สนฺติ 

ปทญฺจ  ญตฺวา  วิรชํ  อโสกํ 

สมฺมปฺปชานาติ  ภวสฺส  ปารคู. 

ความยินดีและความยินร้ายของท่าน 

ถูกขจัดขัดล้างเสียจนไม่มีเหลือ

ทั้งท่านยังรู้จักทางอันไม่ต้องมามัวสุขมัวเศร้า

เข้าใจความเป็นจริงอย่างถูกต้อง ข้ามฝั่งแห่งภพชาติได้สำเร็จ

ที่มา: โลกธรรมสูตร อัฏฐกนิบาต อังคุตรนิกาย 

พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 95 

…………..

ดูก่อนภราดา!

: ห้ามฝนไม่ให้ตกไม่ได้

: แต่หาร่มมากางไม่ให้เปียกได้

#บาลีวันละคำ (4,775)

9-7-68

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *