ยศถาตาลปัตรพัดยอดแหลม (บาลีวันละคำ 4,780)

ยศถาตาลปัตรพัดยอดแหลม
คำที่มากับข่าวพระ
ผู้เขียนบาลีวันละคำอ่านโพสต์ของท่านผู้หนึ่งเห็นคำนี้ ก็คิดตามประสานักเรียนบาลี
ยศถา ตาลปัตร พัดยอดแหลม แต่ละคำมีเรื่องที่น่ารู้
(๑) “ยศถา”
อ่านว่า ยด-ถา เป็นคำที่เราพูดกันอยู่ “ยศ” เป็นรูปคำสันสกฤต บาลีเป็น “ยส” (สันสกฤต ศ ศาลา บาลี ส เสือ) อ่านว่า ยะ-สะ รากศัพท์มาจาก –
(1) ยชฺ (ธาตุ = บูชา) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลง ช เป็น ส
: ยชฺ + อ = ยช > ยส แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งเป็นเครื่องบูชา”
(2) ยา (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + ส ปัจจัย, รัสสะ อา ที่ ยา เป็น อ (ยา > ย)
: ยา + ส = ยาส > ยส แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เป็นไปทุกแห่ง” (ยศมีทั่วไปหมดทุกสังคม)
(3) ยสุ (ธาตุ = พยายาม) + อ (อะ) ปัจจัย, ลบสระ อุ ที่สุดธาตุ (ภาษาไวยากรณ์ว่า “ลบสระหน้า”) (ยสุ > ยส)
: ยสุ + อ = ยสุ > ยส แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งเป็นเหตุให้เขายกย่องหรือแวดล้อม” ขยายความว่า “มีผู้ยกย่องหรือแวดล้อมด้วยเหตุอันใด ก็พยายามทำเหตุอันนั้น”
“ยส” (ปุงลิงค์) หมายถึง ความรุ่งเรือง, ชื่อเสียง, กิตติศัพท์, ความสำเร็จ, ยศหรือตำแหน่งสูง (glory, fame, repute, success, high position)
“ยส” (ส เสือ) ภาษาไทยเขียนตามสันสกฤตเป็น “ยศ” (ศ ศาลา)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ยศ : (คำนาม) ความยกย่องนับถือเกียรติของตน, เกียรติคุณ, ฐานันดรที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีสูงต่ำตามลำดับกันไป; เครื่องหมายพิเศษที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแก่ผู้มีฐานันดร มีสูงต่ำตามลำดับกันไป, เครื่องกําหนดหมายฐานะหรือชั้นของบุคคล. (คำวิเศษณ์) ที่แสดงฐานะหรือชั้น เช่น พัดยศ. (ส.; ป. ยส)”
ส่วน “ถา” เป็นภาษาอะไรยังไม่ทราบ คำว่า “ยศถา” ไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
สันนิษฐานว่า อาจจะกร่อนมาจากคำว่า “ฐานันดร” ซึ่งหมายถึง ลำดับชั้นบุคคลในราชสกุลหรือลำดับชั้นยศบุคคลในราชการ มีความหมายในทางเดียวกับ “ยศ” จึงเอามาพูดควบกันเป็น “ยศฐานันดร” หรือ “ยศศักดิ์ฐานันดร” แล้วกร่อนเป็น “ยศฐา” และเขียนตามสะดวกมือเป็น “ยศถา”
(๒) “ตาลปัตร”
อ่านว่า ตา-ละ-ปัด ประกอบด้วยคำว่า ตาล + ปัตร
(ก) “ตาล” บาลีอ่านว่า ตา-ละ รากศัพท์มาจาก ตลฺ (ธาตุ = ตั้งอยู่) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ยืดเสียง (ทีฆะ) อะ ที่ ต-(ลฺ) เป็น อา (ตลฺ > ตาล)
: ตลฺ + ณ = ตลณ > ตล > ตาล แปลตามศัพท์ว่า “ต้นไม้ที่ตั้งอยู่” (คือยืนต้นคล้ายกับว่าตั้งไว้)
“ตาล” ที่คุ้นกันในภาษาไทย หมายถึงต้นตาล แต่ในบาลีใช้ในความหมาย 2 อย่าง พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกไว้ดังนี้ –
(1) the palmyra tree (fan palm), Borassus flabelliformis (ต้นตาล, ต้นตาลโตนด)
(2) a strip, stripe, streak (แผ่น, ชิ้น, แถบ, แนว, รอย)
“ตาล” ในสันสกฤตก็ใช้ในความหมายหลายอย่าง แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับต้นตาล สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ 2 ความหมาย คือ –
(1) ตาล : (คุณศัพท์) อันทำด้วยไม้ตาล (made of palm-wood)
(2) ตาล : (คำนาม) ผลตาล (the fruit of palm tree)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ตาล : (คำนาม) ชื่อปาล์มชนิด Borassus flabellifer L. ในวงศ์ Palmae ใบใหญ่ ดอกแยกเพศ อยู่ต่างต้น ต้นเพศผู้ออกดอกเป็นงวง ต้นเพศเมียออกดอกเป็นช่อเดี่ยว ๆ ผลใหญ่กลมโตเป็นทะลาย ภายในผลมีเมล็ด เรียกว่าเต้า น้ำหวานที่ออกจากงวงของต้นเพศผู้ เรียกว่า น้ำตาลสด ใช้ทำน้ำตาลได้ ตอนหัวของผลอ่อน เรียกว่าหัวตาล ต้มแกงกินได้ เมื่อเต้ายังอ่อน เรียกว่า ลอนตาลหรือตาลเฉาะ เนื้อในนิยมกินสดหรือกินกับนํ้าเชื่อม จาวที่เกิดจากเมล็ดแก่ที่งอกแล้ว เรียกว่า จาวตาล เชื่อมกินได้, ตาลโตนด ก็เรียก; เรียกขนมที่ทำด้วยแป้งผสมนํ้าคั้นจากลูกตาลสุก ว่า ขนมตาล.”
โปรดสังเกตชื่อวิทยาศาสตร์ พจนานุกรมฯ บอกว่า Borassus flabellifer
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกว่า Borassus flabelliformis
ไทยเราเอาคำว่า “ตาล” มาใช้ในภาษาไทยจนกลายเป็นคำไทยอย่างสนิท แต่ที่สำคัญก็คือทำให้คนไทยส่วนมาก โดยเฉพาะคนไทยรุ่นใหม่ ลืมชื่อไทยของไม้ชนิดนี้ไปสนิทเช่นกัน
บาลี “ตาล”
คำไทยเรียก “โตนด” (ตะ-โหฺนด) (มาจากคำเขมรอีกต่อหนึ่ง)
(ข) “ปัตร” บาลีเป็น “ปตฺต” (ปัด-ตะ) รากศัพท์มาจาก ปตฺ (ธาตุ = ตก) + ต ปัจจัย
: ปตฺ + ต = ปตฺต (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่จะร่วงหล่นโดยไม่นาน” หมายถึง ใบไม้ (a leaf)
“ปตฺต” สันสกฤตเป็น “ปตฺร”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ปตฺร : (คำนาม) ‘บัตร์’ ใบ, แผ่น; ยานทั่วไป; หางนก; ภู่ศร, ภู่หรือขนนกอันท่านติดไว้ที่ลูกศรหรือลูกดอก; ใบนารล, ‘นารลบัตร์’ ก็เรียก; ใบหนังสือ; ทองใบ; ฯลฯ; ธาตุทั่วไปอันแผ่แล้วเปนแผ่นบาง; จดหมาย; ลายลักษณ์อักษรทั่วไป; a leaf; a vehicle in general; the wing of a bird; the feather of an arrow; the leaf of the Laurus cassia; the leaf of a book, goldleaf &c.; any thin sheet or plate of metal; a letter; any written document.”
ในที่นี้เขียนตามสันสกฤตเป็น “ปัตร”
ตาล + ปตฺต = ตาลปตฺต (ตา-ละ-ปัด-ตะ) แปลว่า “ใบของต้นตาล” > ใบตาล
เขียนแบบสันสกฤตเป็น “ตาลปตฺร”
ใช้ในภาษาไทยเป็น “ตาลปัตร”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ตาลปัตร : (คำนาม) พัดทำด้วยใบตาล มีด้ามยาว สำหรับพระภิกษุถือบังหน้าในพิธีกรรมเช่นในเวลาให้ศีล ต่อมาอนุโลมเรียกพัดที่ทำด้วยผ้าหรือไหมซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้นว่า ตาลปัตร ด้วย, ตาลิปัตร ก็ว่า. (ส. ตาลปตฺตฺร, ป. ตาลปตฺต).”
(๓) “พัดยอดแหลม”
คำว่า “พัด” ตัดมาจากคำเต็มว่า “พัดยศ” มีความหมายตามศัพท์ว่า “พัดที่แสดงถึงยศคือการได้รับยกย่อง”
ความหมายในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“พัดยศ : (คำนาม) พัดพิเศษที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแก่ภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรมได้ตั้งแต่ ๓ ประโยคขึ้นไป หรือแก่พระภิกษุที่มีความรู้ ความสามารถในการศึกษา การบริหาร หรือการเผยแผ่พระศาสนา เป็นต้น เป็นเครื่องหมายแสดงลำดับชั้นแห่งสมณศักดิ์ มีรูปและชื่อต่าง ๆ กัน คือ พัดหน้านาง พัดพุดตาน พัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์.”
คำว่า “พัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“พัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ : (คำนาม) พัดยศของสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะ มีลักษณะอย่างทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ปลายแหลม และมีแฉกโดยรอบ พื้นตาดโหมด หรือกำมะหยี่ ปักลวดลายด้วยดิ้นเลื่อมหรือดิ้นด้าน มีสีและลวดลายต่าง ๆ ตามชั้นแห่งสมณศักดิ์ ด้ามงาเกลี้ยง, ถ้าเป็นพัดยศสมเด็จพระสังฆราช ยอดทำด้วยงาสลักเป็นฉัตร ๓ ชั้น.”
คำว่า “ปลายแหลม” ในคำบรรยายที่ว่า “มีลักษณะอย่างทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ปลายแหลม และมีแฉกโดยรอบ” นี่เอง ที่เราจับเอามาพูดกันว่า “พัดยอดแหลม”
เมื่อพูดว่า “พัดยอดแหลม” ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า หมายถึงเจ้าของพัดนั้นเป็นพระราชาคณะ หรือที่เรียกรู้กันว่า “เจ้าคุณ”
พูดให้ชัดกว่านั้น “พัดยอดแหลม” = ท่านเป็นเจ้าคุณนะ หรือ อาตมาเป็นเจ้าคุณนะ
อภิปรายขยายความ :
“ยศถา” ที่แตกลูกออกมาเป็น “ตาลปัตร” “พัดยอดแหลม” ผู้เขียนบาลีวันละคำขอวาดภาพเพื่อให้เห็นความเป็นมาอย่างง่าย ๆ ดังนี้ –
๑ เวลาอากาศร้อน คนทั่วไปทำพัดใช้โบกบรรเทาความร้อน วัสดุที่เหมาะแก่การใช้งานที่สุดก็คือ ใบตาล เพราะมีลักษณะแผ่แบน ใช้โบกให้เกิดลมได้ดี และสามารถหาได้ง่ายในพื้นถิ่น
๒ เมื่อพระไปพบญาติโยมและอยู่สนทนากัน โยมก็ถวายพัดให้พระโบกบรรเทาร้อน เทียบกับสมัยนี้ก็คือเปิดพัดลมเปิดแอร์ เดิมคงถวายให้พระใช้เฉพาะในที่ที่พบปะพูดคุยกัน พอลาไปพระก็คืนพัดให้โยม ต่อมาโยมเห็นว่าพระพอจะถือไปมาได้สะดวกจึงถวายให้ท่านไปเลย พระก็ถือติดมือไปไหนมาไหนเป็นการฉลองศรัทธา ทั้งเพื่อใช้ประโยชน์พัดโบกบรรเทาร้อนไปด้วย กลายเป็นเหมือนอติเรกบริขารที่เพิ่มขึ้น
๓ แม้พระไปในงานพิธีการก็ถือพัดไปด้วย เวลาให้ศีลก็ถือพัดติดมืออยู่ อาจใช้ปิดปากหรือบังหน้าในบางจังหวะตามลักษณะธรรมชาติของกิริยาอาการที่เคลื่อนไหว นี่คือต้นกำเนิดของการตั้งพัดบังหน้าในเวลาให้ศีลเป็นต้น
๔ การถือพัดใบตาลไปไหนมาไหนเป็นที่นิยมจนกลายเป็นธรรมเนียมของพระ
๕ ต่อมาเมื่อพัดใบตาลพัฒนารูปแบบจากใบตาลเป็นผ้า แต่ก็ยังคงชื่อเดิมไว้ คือเรียกว่า “ตาลปัตร” (ใบตาล) และแม้จะไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการพัดโบกบรรเทาร้อน แต่ก็ถือเป็นธรรมเนียมเวลาพระไปงานพิธีต้องมีพัด คือ “ตาลปัตร” ไปด้วย บางขั้นตอนที่ทำพิธี เช่นให้ศีลและอนุโมทนา ก็ถือพัด มีคำเรียกว่า “ตั้งพัด” ไว้ตรงหน้าด้วย ทั้งหมดนี้มีต้นเหตุมาจากโยมถวายพัดให้พระ และพระถือพัดติดมืออยู่แทบตลอดเวลามาแต่เดิมนั่นเอง
๖ เมื่อตาลปัตรกลายเป็นบริขารพิเศษประจำตัวพระ จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่ใช้ตาลปัตรเป็นสัญลักษณ์แสดงความยกย่องโดยการออกแบบรูปลักษณ์ให้ดูงามตามนิยม ใช้สีและรายละเอียดบางอย่างเป็นเครื่องบ่งบอกถึงระดับความยกย่องที่แตกต่างกันออกไป อันเป็นที่มาของลักษณะ “พัดยศ” ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรมได้ตั้งแต่ 3 ประโยคขึ้นไป และแก่พระภิกษุที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
ข้อสันนิษฐานทั้งหมดนี้ สามารถแย้งค้านหรือเห็นต่างได้ทุกประเด็น ไม่จำเป็นจะต้องถูกต้องตามนี้
…………..
ดูก่อนภราดา!
: มีกำลังใจปฏิบัติธรรมกิเลสจึงหมด
: ตาลปัตรพัดยศเป็นเพียงเครื่องส่งเสริมกำลังใจ
#บาลีวันละคำ (4,780)
14-7-68
…………………………….
…………………………….