ปัญจาบ = ปัญจาป (บาลีวันละคำ 4,819)

ปัญจาบ = ปัญจาป
คงไม่บาป-ถ้าจะจับบวช
“ปัญจาบ” เป็นชื่อรัฐหนึ่งในอินเดีย อยู่ตอนบนของประเทศอินเดีย ชื่อนี้อักษรโรมันสะกดเป็น Punjab ถอดเป็นอักษรไทยเป็น “ปัญจาบ”
มีคำอธิบายว่า เหตุที่รัฐนี้ได้ชื่อว่า “ปัญจาบ” เนื่องจากมีแม่น้ำสำคัญ 5 สาย โดยแยกศัพท์เป็น ปัญจ (ห้า) + อาบ (แม่น้ำ)
ถ้าถือตามคำอธิบายนี้ ชื่อ “ปัญจาบ” ก็ควรจะตรงกับคำบาลีว่า “ปัญจาป”
โปรดสังเกต –
“ปัญจาบ” ชื่อรัฐในอินเดีย –จาบ บ ใบไม้สะกด
“ปัญจาป” คำบาลี –จาป ป ปลาสะกด
“ปัญจาป” คำบาลี แยกศัพท์เป็น ปัญจ + อาป
(๑) “ปัญจ”
เขียนแบบบาลีเป็น “ปญฺจ” อ่านว่า ปัน-จะ แปลว่า ห้า (จำนวน 5) ภาษาไวยากรณ์เรียกว่า “ปกติสังขยา” คือคำบอกจำนวนของสิ่งที่นับ คู่กับ “ปูรณสังขยา” คือคำบอกเฉพาะลำดับของสิ่งที่นับ
แวะหาความรู้ :
“ปกติสังขยา” เช่นพูดว่า “ปญฺจ ชนา” = คน 5 คน (รวมหมดทั้ง 5 คน)
“ปูรณสังขยา” เช่นพูดว่า “ปญฺจโม ชโน” = คนที่ 5 (เฉพาะคนที่ 5 คนเดียว)
“ปญฺจโม” ศัพท์เดิม “ปญฺจม” ก็คือ ปญฺจ + ม (มะ ปัจจัย)
“ม” ปัจจัยใช้ประกอบเข้าข้างท้ายศัพท์ปกติสังขยาทำให้เป็นปูรณสังขยา
“ปญฺจม” ก็คือที่เราเอามาใช้ในภาษาไทยว่า “เบญจม” (เบน-จะ-มะ)
ปญฺจ เป็น ปกติสังขยา
ปญฺจม เป็น ปูรณสังขยา
เทียบคำอังกฤษอาจช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น >
one two three (1 2 3) เป็น ปกติสังขยา
first second third (ที่1 ที่ 2 ที่ 3) เป็น ปูรณสังขยา
ปญฺจ (five) เป็น ปกติสังขยา
ปญฺจม (fifth) เป็น ปูรณสังขยา
(๒) “อาป”
บาลีอ่านว่า อา-ปะ รากศัพท์มาจาก –
(1) อาปฺ (ธาตุ = เอิบอาบ, ซึมซาบ; เจริญ) + อ (อะ) ปัจจัย
: อาปฺ + อ = อาป แปลตามศัพท์ว่า (1) “สิ่งที่เอิบอาบซึมซาบไป” (2) “สิ่งที่ซึมซาบไปได้ทุกที่” (3) “สิ่งที่แผ่ซึมซาบไปสู่สหชาตรูป” (“สหชาตรูป” ในที่นี้คือสิ่งที่เกิดจากน้ำหรือเกิดในน้ำ) (4) “สิ่งที่ช่วยให้สหชาตรูปเจริญเติบโต”
(2) อปฺ (ธาตุ = ไป, ถึง) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, “ทีฆะต้นธาตุ” คือ อะ ที่ อ-(ปฺ) เป็น อา (อปฺ > อาป)
: อปฺ + ณ = อปณ > อป > อาป แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ไหลไปถึงที่นั้น ๆ”
“อาป” (ปุงลิงค์) หมายถึง น้ำ, ธาตุน้ำ
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน มีศัพท์ว่า “อาป” บอกว่าเป็น ธาตุ (รากศัพท์) มีความหมายว่า ซ่านทั่ว; ได้; to pervade; to obtain.
และมีศัพท์ที่ออกจาก “อาป” คือ “อาปคา” เป็นคำนาม แปลว่า แม่น้ำ, ลำน้ำ; a river, a stream.
หนังสือ ศัพท์วิเคราะห์ ของ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต) บอกความหมายของ “อาป” ว่า น้ำ, ธาตุน้ำ, สมุทร
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แสดงความเห็นไว้ว่า “อาป” คำนี้มีรูปคำคล้ายภาษาละตินและยุโรปโบราณบางคำ คือ amnis (Lat.) = river (แม่น้ำ) ùpé (Lith.) = water (น้ำ) ape (Old Prussian) = river (แม่น้ำ)
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อาป” ว่า water (น้ำ) และขยายความต่อไปว่า philosophically t. t. for cohesion, representative of one of the 4 great elements (cp. mahābhūta), viz. paṭhavī, āpo, tejo, vāyo (ทางปรัชญาเป็นศัพท์เฉพาะสำหรับการเกาะตัวหรือรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว, อาโปธาตุ, เป็นชื่อที่ใช้แทนธาตุหนึ่งในบรรดาธาตุทั้งสี่ (เทียบ มหาภูต), กล่าวคือ ปฐวี, อาโป, เตโช, วาโย)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อาปะ, อาโป : (คำนาม) นํ้า, เมื่อใช้เป็นส่วนหน้าของสมาสมักใช้ว่า อาโป เช่น อาโปกสิณ อาโปธาตุ.”
ปญฺจ + อาป = ปญฺจาป (ปัน-จา-ปะ) แปลว่า “แม่น้ำทั้งห้า”
“ปญฺจาป” เขียนแบบไทยเป็น “ปัญจาป” อ่านว่า ปัน-จาบ
ขยายความ :
แม่น้ำ 5 สายในรัฐปัญจาบ อันเป็นที่มาของคำว่า “ปัญจาบ = ปัญจาป” มีชื่อดังนี้ –
สายที่ 1
ชื่อปัจจุบัน: Jhelum/เฌลัม
ชื่อสมัยพระเวท: Vitastā/วิตัสตา
ชื่อภาษาสันสกฤต: Vitastā/วิตัสตา
สายที่ 2
ชื่อปัจจุบัน: Chenab/จีนาบ
ชื่อสมัยพระเวท: Asiknī/อสิกนี
ชื่อภาษาสันสกฤต: Candrabhāgā/จันทรภาคา
สายที่ 3
ชื่อปัจจุบัน: Ravī/รวี
ชื่อสมัยพระเวท: Puruṣṇī/ปุรุษฺณี หรือ Irāvatī/อิราวตี
ชื่อภาษาสันสกฤต: –
สายที่ 4
ชื่อปัจจุบัน: Beas/พฺยาส (บฺยาส)
ชื่อสมัยพระเวท: Vipāśā/วิปาศา หรือ Vipāśi/วิปาศิ
ชื่อภาษาสันสกฤต: –
สายที่ 5
ชื่อปัจจุบัน: Sutlej/สัตเลช
ชื่อสมัยพระเวท: Śutudrī/ศุตุทฺรี หรือ Śatadru/ศตทฺรุ หรือ Śatadrū/ศตทฺรู
ชื่อภาษาสันสกฤต: –
ขอบพระคุณผู้ให้ข้อมูล: ผศ. ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา
ราชบัณฑิต วิชาวรรณศิลป์ สาขาวิชาตันติภาษา
…………..

ภาษาไทยมีสำนวน “ชักแม่น้ำทั้งห้า”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ชักแม่น้ำทั้งห้า : (สํานวน) (คำกริยา) พูดจาหว่านล้อมยกเหตุผลต่างๆ เพื่อโน้มน้าวให้ได้สิ่งที่ประสงค์ เช่น เถ้าก็พูดจาหว่านล้อมด้วยคํายอ ชักเอาแม่นํ้าทั้งห้าเข้ามาล่อ. (ม. ร่ายยาว กุมาร). (แม่น้ำทั้งห้าในสำนวนนี้หมายถึงแม่น้ำสายใหญ่ในอินเดีย ๕ สาย ได้แก่ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหิ).”
ความหมายของชื่อ และสังเขปข้อมูล :
(1) “คงคา” แปลว่า “แม่น้ำที่ไหลมาทำให้ห้วงน้ำใหญ่เป็นไป” (คือเมื่อไหลมาก็รวมเอาน้ำในลำน้ำแหล่งน้ำน้อยใหญ่มาด้วย ก่อให้เกิดปริมาณน้ำมากมายมหาศาล) เป็นแม่น้ำใหญ่สายสำคัญลำดับที่ 1 ในปัญจมหานที และเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์อันดับที่ 1 ในศาสนาพราหมณ์, แม่น้ำคงคามีความยาวประมาณ 2,510 กม. ตามที่บันทึกไว้ในอรรถกถาว่า มีต้นกำเนิดจากสระอโนดาต ในแดนหิมพานต์ ไหลไปสู่มหาสมุทร จากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ออกทะเลที่อ่าวเบงกอล (Bay of Bengal), ปัจจุบัน คนทั่วไปรู้จักในชื่อภาษาอังกฤษว่า Ganges
(2) “ยมุนา” (ยะ-มุ-นา) แปลว่า (1) “แม่น้ำที่ยังความสกปรกให้ระงับไป” (2) “แม่น้ำที่เป็นน้องสาวของพญายม” เป็นแม่น้ำใหญ่สายสำคัญลำดับที่ 2 ในปัญจมหานที มีต้นกำเนิดร่วมกับแม่น้ำคงคา ที่สระอโนดาตในแดนหิมพานต์ และลงมาบรรจบกับแม่น้ำคงคาที่เมืองปยาคะ (ปัจจุบันคือ Allahabad) ไหลผ่านเมืองสำคัญ คือ Delhi เมืองหลวงปัจจุบันของอินเดีย
(3) “อจิรวดี” (อะ-จิ-ระ-วะ-ดี) แปลว่า “แม่น้ำที่มีการไหลไม่ช้า” คือมีกระแสเชี่ยว
เป็นแม่น้ำใหญ่สายสำคัญลำดับที่ 3 ในปัญจมหานที ไหลผ่านเมืองสำคัญ คือ สาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล, ปัจจุบัน อจิรวดีเป็นแม่น้ำที่ไม่สำคัญอะไรนัก มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Rapti
(4) “สรภู” (สะ-ระ-พู) แปลว่า “ลุ่มน้ำเป็นเหตุให้มีสระ” เป็นแม่น้ำใหญ่สายสำคัญลำดับที่ 4 ในปัญจมหานที ไหลผ่านเมืองสำคัญ คือ สาเกต, ปัจจุบัน สรภูไม่เป็นที่รู้จักทั่วไป มีชื่อในภาษาสันสกฤตว่า สรยู
(5) “มหิ” (มะ-หิ, ชื่อนี้เป็น “มหี” ก็มี) แปลว่า (1) “แม่น้ำอันผู้คนนับถือ” (2) “แม่น้ำที่เจริญ” คือกว้างใหญ่ เป็นแม่น้ำใหญ่ลำดับที่ 5 ในปัญจมหานที ไหลผ่านไปใกล้แคว้นอังคุตตราปะ, บางทีเรียก มหามหี บ้าง มหามหีคงคา บ้าง, ปัจจุบันน่าจะอยู่ในหรือใกล้เขตบังคลาเทศ
(เก็บความจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต)
…………..
สำนวน “ชักแม่น้ำทั้งห้า” ในร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร ความเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าดังนี้ –
…………..
… พระพุทธิเจ้าข้า วาริวโห เมาะ ปญฺจ มหานทิโย พระคุณเจ้าเอ่ย อันว่าแม่น้ำทั้งห้ากระแสสายชลชลา ไหลมาจากห้วงคงคาเป็นห้าแถว นองไปด้วยน้ำแนวเต็มฝั่งฝา นามชื่อว่าคงคา ยุมนา อจิรวดี สรภูนที มหิมหาสาคเรศ จึงแตกเป็นนิเทศกุนทีน้อย ๆ ประมาณห้าร้อยโดยสังขยา ปูโร ไหลหลั่งถั่งมาลบล้น กระทบกระทั่งฟากฝั่งเป็นฝอยฝน บ้างก็เป็นวังวนวุ้งชะวากเวิ้ง บ้างก็เป็นกะพักกะเพิงกะพังพุ บ้างก็ดั้นดุกระเด็นดาษดังดวงแก้ว ตามทางแถวแนวท่อธาร ไหลซ่าซ่าซ่านสะเซาะโซม เสียงระระระโรมโครมครื้นครั่น พิลึกลั่นบันลือหฤหรรษ์ บ้างก็เลี้ยวลัดดัดดั้นชลาไหล บ่าไปสู่บ่อบึงบางน้อยใหญ่นับอเนกอนันต์ เป็นคลื่นหมื่นมหันต์มไหไหลฟุ้งซ่านสุดที่จะพรรณนา ย่อมเป็นที่อาศัยทั่วไปแก่ฝูงปลานานาสรรพสัตว์ ในภูมิพื้นจังหวัดมงคลทวีป ฝูงชนได้เลี้ยงชีพก็ชุ่มชื่น ถึงจะวิดวักตักตวงทุกค่ำคืนทิวาวัน ถึงจะทดท่อระหัดหันเข้าทุ่งนาป่าแลดง น้ำในสาครจะน้อยลงก็หามิได้ เสมือนหนึ่งน้ำพระทัยพระทูลกระหม่อมแก้ว อันยาจกมาถึงแล้วไม่เลือกหน้า ตามแต่จะปรารถนาทุกยวดยาน กาญจนะอลงกตรถรัตน์ อัศวสรรพสารพัดพิพิธโภไค จนกระทั่งถึงภายในปัญจมหาบริจาค อันเป็นยอดยากยิ่งทานไม่ท้อถอย ด้วยพระองค์หมายมั่นพระสร้อยสรรเพชญดาญาณ พระคุณเจ้าเอ่ย ข้าพระราชสมภารนี่เป็นคนจนทุพลภาพสุดเข็ญ จะหาเช้าได้กินเย็นก็ทั้งยาก ครั้งนี้อุตส่าห์บ่ายบากบุกป่าผ่าพงพนัสแสนกันดาร หวังจะรับพระราชทานพระชาลีกัณหา ไปเป็นทาสาทาสี ขอพระองค์จงทรงยกยอดปิยบุตรทานบารมี ให้แก่ข้าทชีนี้เถิด
…………..
อย่าสับสน :
แม่น้ำทั้งห้าในรัฐปัญจาบของอินเดีย กับแม่น้ำทั้งห้าในสำนวนไทย เป็นแม่น้ำคนละชุดกัน โปรดอย่าจำสับสน และอย่าเอาไปปนกัน
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าเห็นว่าควรแก่การเลื่อมใสศรัทธา
: ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้าก็เต็มใจให้
#บาลีวันละคำ (4,819)
22-8-68
…………………………….
…………………………….
