บาลีวันละคำ

สูกรมัททวะ (บาลีวันละคำ 2,869)

สูกรมัททวะ

คืออะไร

อ่านว่า สู-กะ-ระ-มัด-ทะ-วะ

ประกอบด้วยคำว่า สูกร + มัททวะ

(๑) “สูกร

บาลีอ่านว่า สู-กะ-ระ รากศัพท์มาจาก –

(1) สุ (คำอุปสรรค = ดี, งาม, ง่าย) + กรฺ (ธาตุ = ทำ) + ปัจจัย, ทีฆะ (ยืดเสียง) อุ ที่ สุ เป็น อู (สุ > สู)

: สุ + กรฺ + สุกร + = สุกร > สูกร แปลตามศัพท์ว่า (1) “สัตว์ที่ทำผลให้อย่างงดงาม” (2) “สัตว์ที่ทำความสุขให้

(2) สุ (ตัดมาจากคำว่า “สุนฺทร” = งาม) + กร (มือ) + ปัจจัย, ทีฆะ (ยืดเสียง) อุ ที่ สุ เป็น อู (สุ > สู)

: สุ + กร = สุกร > สูกร แปลตามศัพท์ว่า “สัตว์ที่มีมือคือเท้างาม

สูกร” (ปุงลิงค์) หมายถึง หมู

บาลี “สูกร” สันสกฤตเป็น “สูกร” และ “ศูกร

สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –

(สะกดตามต้นฉบับ)

สูกร, ศูกร : (คำนาม) หมู; ช่างหม้อ; มฤคชนิดหนึ่ง; เศวาลหรือชลนีลิกาชนิดหนึ่ง; a hog; a potter; a sort of deer; a sort of moss.”

สูกร” ใช้ในภาษาไทยเป็น “สุกร” (สุ-กอน)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

สุกร : (คำนาม) หมู (มักใช้เป็นทางการ) เช่น เนื้อสุกร สุกรชําแหละ. (ป.; ส. ศูกร, สูกร).”

โปรดสังเกตว่า บาลีสันสกฤตเป็น “สู-” สระ อู แต่ภาษาไทยเป็น “สุ-” สระ อุ (บาลีใช้เป็น “สุกร” ก็มีบ้าง แต่พบน้อย)

(๒) “มัททวะ

เขียนแบบบาลีเป็น “มทฺทว” (มัด-ทะ-วะ) รากศัพท์มาจาก มุทุ + ณฺย ปัจจัย

(1) “มุทุ” รากศัพท์มาจาก มุทฺ (ธาตุ = ยินดี) + อุ ปัจจัย

: มุทฺ + อุ = มุทุ แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ยินดี” “สิ่งอันคนยินดี

มุทุ” หมายถึง นุ่ม, ไม่แข็ง, อ่อน, อ่อนโยน (soft, mild, weak, tender)

บาลี “มุทุ” สันสกฤตเป็น “มฤทุ

สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –

(สะกดตามต้นฉบับ)

มฤทุ : (คำคุณศัพท์) อ่อน, นุ่ม; เย็น; สถูล; ขี้เท่อ; โกมล; กัลยาณ; soft; cool; blunt; gentle, mild.”

(2) มุทุ + ณฺย ปัจจัย, แปลง มุ-(ทุ) เป็น มทฺ (มุทุ > มทฺทุ), แผลง อุ ที่ (มุ)-ทุ เป็น โอ แล้วแปลง โอ เป็น อว (มุทุ > มุโท > มุทว), ลบ ณฺย

: มุทุ + ณฺย = มุทุณฺย > มุทุ > มทฺทุ > มทฺโท > มทฺทว (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะแห่งผู้ที่ยินดี” “ความเป็นผู้อันคนยินดี” หมายถึง ความอ่อน, ความนุ่ม, ความสุภาพ (mildness, softness, gentleness)

มทฺทว” ในที่นี้เขียนตามบาลีเป็น “มัททวะ” อ่านว่า มัด-ทะ-วะ

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกความหมายของ “มัททวะ” ไว้ว่า –

มัททวะ : ความอ่อนโยน, ความนุ่มนวล, ความละมุนละไม (ข้อ ๕ ในราชธรรม ๑๐).”

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

มัททวะ : คำนาม) ความอ่อนโยน, เป็นธรรมข้อ ๑ ในทศพิธราชธรรม. (ดู ทศพิธราชธรรม หรือ ราชธรรม).”

โปรดทราบว่า ในที่นี้ “มัททวะ” ไม่ได้หมายถึงธรรมข้อ ๑ ในทศพิธราชธรรม แต่ใช้เป็นคุณศัพท์ หมายถึงอ่อนนุ่ม

สูกร + มทฺทว = สูกรมทฺทว เขียนแบบไทยเป็น “สูกรมัททวะ” แปลตามศัพท์เท่าที่ตาเห็นว่า “หมูนุ่ม

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายคำว่า “สูกรมัททวะ” ไว้ดังนี้ –

…………..

สูกรมัททวะ : ชื่ออาหารซึ่งนายจุนทะกัมมารบุตร แห่งเมืองปาวา ถวายแด่พระพุทธเจ้า ในวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นบิณฑบาตมื้อสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าเสวยก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นบิณฑบาตที่มีผลเสมอกับบิณฑบาตที่พระองค์เสวยแล้วได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ และบิณฑบาต ๒ ครั้งนี้มีผลมีอานิสงส์มากยิ่งกว่าบิณฑบาตครั้งอื่นใดทั้งสิ้น (ที.ม.๑๐/๑๒๖/๑๕๘; บิณฑบาตที่เสวยในวันตรัสรู้ คือข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวาย), หลังจากเสวยสูกรมัททวะแล้ว พระพุทธเจ้าก็ประชวรหนัก และเมื่อเสด็จถึงเมืองกุสินาราแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานในราตรีนั้น

“สูกรมัททวะ” นี้ มักแปลกันว่าเนื้อสุกรอ่อน แต่อรรถกถาแปลต่างเป็นหลายนัย อรรถกถาแห่งหนึ่งให้ความหมายไว้ถึง ๔ อย่าง (อุ.อ.๔๒๗) ว่า ๑. มหาอัฏฐกถาซึ่งเป็นอรรถกถาโบราณบอกไว้ว่าเป็นเนื้อหมู ที่นุ่มรสสนิท ๒. อาจารย์บางพวกว่าเป็นหน่อไม้ ที่หมูชอบไปดุดย่ำ ๓. อาจารย์อีกพวกหนึ่งว่าเป็นเห็ด ซึ่งเกิดในบริเวณที่หมูดุดย่ำ และ ๔. ยังมีอาจารย์พวกอื่นอีกว่าเป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง ส่วนอรรถกถาอีกแห่งหนึ่ง (ที.อ.๒/๑๗๒) บอกความหมายไว้ ๓ นัยว่า เป็นเนื้อหมูตัวเอกที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไป บ้างว่าเป็นข้าวที่นุ่มนวลกลมกล่อม ซึ่งมีวิธีปรุงโดยใช้เบญจโครส (ผลผลิตจากน้ำนมโค ๕ อย่าง คือ นมสด นมเปรี้ยว เปรียง เนยใส เนยข้น) บ้างว่าเป็นยาอายุวัฒนะ.

…………..

ขอยกคำในต้นฉบับอรรถกถาตามที่พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ อ้างถึงมาเสนอเป็นข้อมูลดังนี้ –

คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ภาค 2 หน้า 172 (อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร) แสดงความหมายของ “สูกรมัททวะ” ไว้ดังนี้ –

(1) นาติตรุณสฺส  นาติชิณฺณสฺส  เอกเชฏฺฐกสูกรสฺส  ปวตฺตมํสํ = เนื้อหมูตัวเอกที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไป

(2) มุทุโอทนสฺส  ปญฺจโครสยูสปาจนวิธานสฺส  นาเมตํ = ข้าวที่นุ่มนวลกลมกล่อม ซึ่งมีวิธีปรุงโดยใช้เบญจโครส (ผลผลิตจากน้ำนมโค 5 อย่าง คือ นมสด นมเปรี้ยว เปรียง เนยใส เนยข้น)

(3) รสายนวิธิ = ยาอายุวัฒนะ

คัมภีร์ปรมัตถทีปนี อุทานวัณณนา หน้า 427 (อรรถกถาคัมภีร์อุทาน) แสดงความหมายของ “สูกรมัททวะ” ไว้ดังนี้ –

(1) สูกรสฺส  มุทุสินิทฺธํ  ปวตฺตมํสํ = เนื้อหมู ที่นุ่มรสสนิท

(2) สูกเรหิ  มทฺทิตวํสกฬีโร = หน่อไม้ ที่หมูชอบไปดุดย่ำ

(3) มทฺทิตปฺปเทเส  ชาตํ  อหิฉตฺตกํ = เห็ด ซึ่งเกิดในบริเวณที่หมูดุดย่ำ

(4) เอกํ  รสายตนํ = ยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง

ไขคำ :

๑ ตามนัยแห่งอรรถกถาที่แสดงไว้นี้ คำว่า “ทัททวะ” มีความหมายอีกนัยหนึ่งเท่ากับ “มทฺทิต” (มัด-ทิ-ตะ) ซึ่งแปลว่า “(สิ่งที่ถูก) ขยำย่ำเหยียบ

คำว่า “มทฺทิต” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) นวดให้เข้ากัน, ผสม (kneaded, mixed)

(2) ขยี้, ทำให้แพ้ (crushed, defeated)

๒ คำว่า “รสายน” (ระ-สา-ยะ-นะ) หรือ “รสายตน” (ระ-สา-ยะ-ตะ-นะ) ในความหมายที่กำลังกล่าวถึงนี้ ผู้เขียนบาลีวันละคำยังไม่พบคำขยายความในคัมภีร์บาลี (ท่านผู้ใดพบ ขอความกรุณานำมาบอกกล่าวเผยแพร่ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง)

ในพระไตรปิฎกฉบับ “พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล” ชุด 91 เล่ม แปล “รสายนวิธิ” ว่า “วิธีปรุงรส” แปล “รสายตน” ว่า “บ่อเกิดแห่งรส” ซึ่งยังไม่ชัดว่าหมายถึงอะไร

แต่ในสํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน มีคำว่า “รสายน” (ระ-สา-ยะ-นะ) บอกความหมายไว้ดังนี้ –

(สะกดตามต้นฉบับ)

รสายน : (คำนาม) รสวิทยา, วิชาหรือการแปรธาตุเบื้องต้น; การใช้ปรอทแซกยา; ยาอายุวรรธนะ, ยากันความชราและบำรุงอายุให้ยืนนาน; ยาพิษ; โครสหรือนมส้ม; ครุฑ; รสายนวิท, รสัชญ์, ผู้เล่นแร่แปรธาตุหรือหวังสำเร็จปรอท; alchemy; the infant stage of chemistry; employment of mercury in medicine; elixir vita, a medicine preventing old age and prolonging life; poison; butter-milk; Garuda; an alchemist.”

ในภาษาไทย มีคำว่า “รสายนเวท” (ระ-สา-ยะ-นะ-เวด) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

รสายนเวท : (คำนาม) วิชาประสมแร่แปรธาตุ, วิชาเคมียุคเล่นแร่แปรธาตุ. (ส.).”

เป็นอันค่อนข้างแน่นอนว่า “สูกรมัททวะ” ที่หมายถึง “รสายนวิธิ” หรือ “รสายตน” ในอรรถกถา ก็คือ ยาอายุวัฒนะที่เป็นผลิตภัณฑ์ทางเคมีชนิดหนึ่ง

นายจุนทะอยู่ในตระกูลช่างทองซึ่งจะต้องมีความรู้ในวิชาเคมีและสามารถที่จะปรุงยาโดยใช้วิชาเคมีเข้าช่วยได้ สอดคล้องกับที่อรรถกถาขยายความต่อไปด้วยว่า –

(1) ตํ  ปน  รสายนสตฺเถ  อาคจฺฉติ.  ตํ  จุนฺเทน  ภควโต  ปรินิพฺพานํ  น  ภเวยฺยาติ  รสายนํ  ปฏิยตฺตนฺติ. (คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ภาค 2 หน้า 172)

รสายนวิธีนั้นมาในคัมภีร์รสายนศาสตร์ สูกรมัททวะนั้นนายจุนทะตกแต่งตามรสายนวิธี ด้วยประสงค์ว่าการปรินิพพานจะยังไม่พึงมีแก่พระผู้มีพระภาค

(2) อปฺเปวนาม  นํ  ปริภุญฺชิตฺวา  จิรตรํ  ติฏฺเฐยฺยาติ  สตฺถุ  จิรชีวิตุกมฺยตาย  อทาสีติ  วทนฺติ. (คัมภีร์ปรมัตถทีปนี อุทานวัณณนา หน้า 427)

นายจุนทะดำริว่า “ไฉนหนอพระผู้มีพระภาคเสวยสูกรมัททวะนี้แล้วพึงดำรงพระชนม์อยู่ยืนนานยิ่งขึ้น” จึงได้ถวายเพื่อประสงค์จะให้พระศาสดาดำรงพระชนมายุได้ตลอดกาลนาน

…………..

ที่แสดงมาทั้งหมดนี้คือ ข้อมูลที่ว่า “สูกรมัททวะ” ในคัมภีร์ท่านไขความว่าหมายถึงอะไรได้บ้าง

รู้ข้อมูลแล้ว ใครจะเชื่ออย่างไรหรือไม่เชื่ออย่างไร ย่อมเป็นเสรีภาพทางวิชาการหรือเสรีภาพทางศาสนา แต่ไม่พึงเดาสุ่มไปก่อนโดยไม่ศึกษาอะไรเลย

…………..

ดูก่อนภราดา!

: ไม่รู้จงศึกษา

: อย่าเดา

#บาลีวันละคำ (2,869)

20-4-63

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย