บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

บทความเรื่อง ถ้าอำนาจรัฐไม่จัดสรร

ถ้าอำนาจรัฐไม่จัดสรร

———————–

ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็อยู่ไม่ได้ (๒)

……………………….

๒ ศึกษาพระไตรปิฎก หยิบยกเอามาเป็นบทเรียน

พวกเราส่วนหนึ่ง-และน่าจะเป็นส่วนมาก-เชื่อว่า เพียงแค่ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย เท่านี้ก็สามารถรักษาพระศาสนาไว้ได้เป็นอย่างดีแล้ว

เป็นความความคิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

แต่ถูกเพียงครึ่งเดียว

อีกครึ่งหนึ่งยังไม่ถูก – และเป็นครึ่งที่สำคัญมากด้วย

ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องว่า พระพุทธศาสนามี ๒ ส่วน

ส่วนหนึ่งคือ ตัวพระศาสนา

อีกส่วนหนึ่งคือ ที่ปรากฏตัวของพระศาสนา

หลักพระธรรมวินัยและการประพฤติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย คือตัวพระศาสนา ส่วนนี้ต้องมี ไม่มีไม่ได้

ไม่มีพระธรรมวินัยก็ไม่มีพระศาสนา

แล้วทีนี้-ที่ปรากฏตัวของพระศาสนาคืออะไร?

ก็คือสังคมที่เกื้อกูล

ก็คืออำนาจรัฐหรือผู้ปกครองบ้านเมืองที่เป็นสัมมาทิฐิ คือเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นแนวดำเนินที่จะนำพาสังคมไปสู่ความสุขสงบร่มเย็นยั่งยืน

การทำให้สังคมศรัทธาเลื่อมใสแล้วประพฤติดีปฏิบัติชอบ เป็นหน้าที่ของผู้บริหารพระศาสนา

การเปิดโอกาส เปิดที่ มีทางให้พระศาสนาปรากฏตัว เป็นหน้าที่ของผู้บริหารบ้านเมือง

จะมีแต่ตัวพระศาสนา แต่ไม่มีที่ให้พระศาสนาปรากฏตัว พระศาสนาก็ไม่มีความหมายอะไร

อุปมาเหมือนสตรีงามเลิศ แต่ต้องหมกตัวอยู่ในถ้ำแต่ผู้เดียว ไม่มีทางออกไปอวดโฉมที่ไหนได้

มีที่ให้พระศาสนาปรากฏตัว แต่ไม่มีตัวพระศาสนาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง การปรากฏตัวของพระศาสนาก็ไม่มีคุณค่าอะไร

อุปมาเหมือนสตรีรูปทรามซ้ำไร้จรรยา แม้จะมีโอกาสออกไปปรากฏตัวได้ทั่วโลก แต่ก็ไม่อาจทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรื่นรมย์ชมชื่นได้

ถ้าใคร-โดยเฉพาะผู้บริหารการพระศาสนา-ยังไม่เคยตระหนักในความจริงข้อนี้ ขอได้โปรดรีบตระหนักไว้จงมากตั้งแต่บัดนี้เถิด

ขอให้ตามไปศึกษาเรื่องราวในพระไตรปิฎก เราจะเห็นบทเรียน

——————-

เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว และพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้นั้นมนุษย์สามารถรู้ตามปฏิบัติตามแล้วได้รับผลดีได้จริง พระพุทธองค์ก็ทรงเริ่ม “ยาตรากองทัพธรรม” เข้าสู่สังคม ด้วยการส่งพระอรหันตสาวกรุ่นแรกมีจำนวนเพียง ๖๐ องค์ออกประกาศพระศาสนา

ตรงนี้มีพระพุทธพจน์ที่มีคุณค่าควรแก่การศึกษาและจดจำใส่ใจทั่วกัน

สาธุชนพึงสดับ:

………………..

จรถ  ภิกฺขเว  จาริกํ  พหุชนหิตาย  พหุชนสุขาย  โลกานุกมฺปาย  อตฺถาย  หิตาย  สุขาย  เทวมนุสฺสานํ  

พวกเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่พหูชน เพื่อนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่ทวยเทพและมวลมนุษย์

เทเสถ  ภิกฺขเว  ธมฺมํ  อาทิกลฺยาณํ  มชฺเฌกลฺยาณํ  ปริโยสานกลฺยาณํ  สาตฺถํ  สพฺยญฺชนํ  เกวลปริปุณฺณํ  ปริสุทฺธํ  พฺรหฺมจริยํ  ปกาเสถ. 

พวกเธอจงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงเถิด

ที่มา: มหาขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๔ ข้อ ๓๒

………………..

นี่คือแนวนโยบายในการนำตัวพระศาสนาเสนอสู่สังคม

ผู้ทำงานพระศาสนาต้องดำเนินตามแนวนโยบายนี้ – ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อชาวโลก ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

จากนั้น พระพุทธองค์ก็เสด็จแคว้นมคธซึ่งเป็นมหาอำนาจอยู่ในเวลานั้น

เจาะเข้าที่หัวใจประชาชน – คือทำให้ชฎิลสามพี่น้องเจ้าลัทธิใหญ่ที่ประชาชนนับถือยอมรับนับถือคำสอนของพระองค์

แล้วเจาะเข้าที่ศูนย์กลางอำนาจรัฐ คือพระเจ้าพิมพิสาร ทำให้พระเจ้าพิมพิสารยอมรับนับถือคำสอนของพระองค์

พระเจ้าพิมพิสารน้อมถวายอุทยานเวฬุวันเป็นสังฆารามแห่งแรกในพระพุทธศาสนา

เปิดพื้นที่ปรากฏตัวของพระศาสนาได้สำเร็จ

ไม่ได้หมายความเพียงแค่-มีเวฬุวนารามเป็นฐานปฏิบัติการ

แต่หมายความว่ามีมคธรัฐทั้งแคว้นเป็นพื้นที่ปรากฏตัวของพระศาสนา

โปรดศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๔ ตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๖๓

ความจริงเรื่องราวเหล่านี้เราเรียนกันมาแล้วตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี

แต่เพราะเป็นการเรียนที่พลาดท่า คือเรียนเพื่อสอบ สอบได้แล้วเก็บตำรา เลิกเรียน

ไม่ได้เรียนเพื่อคิดวิเคราะห์ ไม่ได้เรียนเพื่อเอามาเป็นบทเรียน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติพัฒนาให้เกิดผลยั่งยืนสืบไป

เราจึงมองข้าม-หรือมองไม่เห็นแผนการประกาศพระศาสนาที่สุดวิเศษนี้

เราเคยเฉลียวใจคิดกันบ้างหรือไม่ว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงเริ่มงานประกาศพระศาสนาโดยเจาะเข้าถึงศูนย์กลางอำนาจรัฐก่อน

คำตอบก็คือ – เพราะที่ปรากฏตัวของพระศาสนาก็คือสังคม คือบ้านเมือง ซึ่งจะต้องมีผู้ปกครอง หรือที่เรียกกันในสมัยนี้ว่าผู้ได้อำนาจรัฐ

ถ้าผู้ได้อำนาจรัฐเป็นมิจฉาทิฐิ-ตามสำนวนในพระธรรมวินัย หรือผู้ได้อำนาจรัฐไม่เล่นด้วย-ตามภาษาพูด พระพุทธศาสนาจะปรากฏตัวในสังคมนั้นบ้านเมืองนั้นได้อย่างไรกัน

ถ้าพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล และพระราชามหากษัตริย์ทั้งหลายในเวลานั้น “ไม่เอาด้วย” กับพระพุทธองค์

ไปเมืองไหน ผู้ปกครองเมืองนั้นเขาก็ไม่ต้อนรับ

พระพุทธองค์จะไปประกาศพระศาสนาที่ไหนได้

นี่แหละครับที่ผมบอกว่า – ถ้าอำนาจรัฐไม่จัดสรร ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็อยู่ไม่ได้

นั่นคือ ต่อให้กำจัดอลัชชีได้หมดสิ้นจากสังฆมณฑล พระภิกษุสามเณรที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนาล้วนแต่เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ประพฤติปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยทุกประการ

พระพุทธศาสนาก็อยู่ไม่ได้-ถ้าอำนาจรัฐไม่เล่นด้วย

แผ่นดินไทย-ประเทศไทยนับว่าโชคดีมากๆ ที่ผู้ได้อำนาจรัฐทุกยุคทุกสมัยเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา

เราควรจะต้องยกย่องเทิดทูนบุรพาจารย์ของพระพุทธศาสนา ตั้งแต่พระโสณะและพระอุตตระเป็นต้นมา ที่ท่านสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะสามารถทำให้ผู้ได้อำนาจรัฐยอมรับนับถือคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งก็คือการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติสืบต่อกันมาตลอดกาลอันยาวนาน

แต่ความโชคดีอันนี้ได้กลายเป็นความโชคร้ายอย่างน่าสลดใจ

เพราะเป็นเหตุให้ผู้รับภารธุระพระศาสนาในยุคสมัยปัจจุบันเกิดความประมาท ย่อหย่อน และอ่อนแอ เสวยบุญเก่าจนลืมสร้างบุญใหม่เพื่อนำหนุนต่อเนื่อง

เพียงตั้งคำถามสมมุติขึ้นมาว่า – ถ้าผู้ได้อำนาจรัฐในเมืองไทยของเรานี้ไม่ได้นับถือเลื่อมใสพระพุทธศาสนา ท่านจะใช้ความรู้ความสามารถอย่างไรได้บ้างหรือไม่ที่จะทำให้เมืองไทยมีที่ให้พระพุทธศาสนาปรากฏตัวอยู่ได้อย่างมีเกียรติ อย่างมีศักดิ์ศรี และอย่างมั่นคง -แม้จะไม่ยิ่งขึ้น-ก็อย่าให้น้อยไปกว่าที่เคยมีมาในอดีตกาล

เพียงตั้งคำถามสมมุติเท่านี้ ท่านจะตอบได้หรือไม่?

ท่านจะเอาตัวรอดด้วยการบอกว่า ท่านอายุมากแล้ว อยู่อีกไม่นาน แต่อย่างน้อยในชั่วชีวิตของท่านพระพุทธศาสนาก็ยังมั่นคงอยู่

ส่วนว่า-หลังจากนี้พระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไร ใครอยู่ข้างหลังก็รับผิดชอบกันไปเองเถิด …

ท่านจะตอบอย่างนี้หรือ?

ในแผ่นดินไทยเรานี้ ผู้ได้อำนาจรัฐยกย่องนับถือพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่นมั่นคงมาได้เพียงแค่ พ.ศ.๒๔๗๕ อำนาจรัฐก็เปลี่ยนมือ

แม้ระบอบการปกครองของเราจะยังมีพระมหากษัตริย์ และแม้รัฐธรรมนูญของเราจะบัญญัติไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ”

แต่พระมหากษัตริย์ผู้เปิดโอกาส เปิดที่ เปิดทางให้พระพุทธศาสนาปรากฏตัวอยู่ในแผ่นดินนี้ตลอดมา ก็ไม่ใช่ผู้ได้อำนาจรัฐอีกต่อไปแล้ว

และตามวิถีทางการเมืองของเรา ไม่ได้มีข้อห้าม-ไม่ให้ผู้ที่ไม่นับถือพระพุทธศาสนาขึ้นสู่การได้อำนาจรัฐ

เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครหรือมีอะไรเป็นเครื่องรับประกันได้เลยว่า วันพรุ่งนี้และตลอดไป ผู้ได้อำนาจรัฐในประเทศไทยก็จะยังคงเป็นผู้ยกย่องนับถือพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่นมั่นคงเหมือนในอดีตกาล

และถ้าในอนาคตอันไม่ไกล ผู้ได้อำนาจรัฐในประเทศไทยมิได้นับถือพระพุทธศาสนา และ/หรือเป็นปฏิปักษ์กับพระพุทธศาสนาซ้ำเข้าไปอีก

เราจะรักษาโอกาส รักษาที่ทาง รักษาสถานะ ให้พระพุทธศาสนาปรากฏตัวอยู่ในแผ่นดินนี้ อย่างมีเกียรติ อย่างมีศักดิ์ศรี และอย่างมั่นคง -แม้จะไม่ยิ่งขึ้น-ก็อย่าให้น้อยไปกว่าที่เคยเป็นมาในอดีตกาล ได้อย่างไร?

ใครยังไม่เคยคิด

ใครยังไม่เคยตระหนัก

โดยเฉพาะผู้บริหารการพระศาสนา

ต้องคิดแล้วนะครับ

และต้องรีบคิดด้วย

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒

๑๗:

(มีตอน ๓)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *