บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ถ้าอำนาจรัฐไม่จัดสรร

ถ้าอำนาจรัฐไม่จัดสรร

———————–

ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็อยู่ไม่ได้ (๑)

……………………….

๑ ศึกษาพระธรรมวินัย ป้องกันภัยพระศาสนา 

เวลานี้การศึกษาพระธรรมวินัยของชาวเราแผ่วลงและพลาดท่าไปมาก 

“แผ่วลง” หมายความว่าอารมณ์ที่ฝักใฝ่ในพระธรรมวินัยมีน้อยลง 

เข้าไปในวัด แทบจะไม่ได้เห็นชาววัดนั่งสนทนากันเรื่องพระธรรมวินัย 

สมัยผมเป็นเด็กวัด ได้ยินพระท่านคุยกันว่า 

– คุณว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม

– ห้ามาสกนี่มันเป็นเงินกี่บาทสมัยเรา 

– ฝันว่าขโมยเงิน เป็นอาบัติอะไร 

– พระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าอโศก ใครเกิดก่อนกัน

ฯลฯ

ท่านมักคุยกันแต่เรื่องพวกนี้

สมัยนี้พระเณรท่านคุยกันทุกเรื่อง-ยกเว้นเรื่องพระธรรมวินัย 

นี่คือ “แผ่วลง” 

ส่วน “พลาดท่า” หมายความว่า เราตั้งเป้าหมายในการศึกษาพระธรรมวินัยไว้ผิดทาง 

เรียนเพื่อรู้ แต่ไม่ใช่เพื่อเอาความรู้ไปปฏิบัติ 

เราแยกความรู้กับการปฏิบัติจริงไว้คนละทาง

ความจริงเราพลาดไปตั้งแต่ความหมายของคำว่า “ศึกษา” นั่นเลย

“ศึกษา” คือ “สิกขา” ในบาลี หมายถึงเรียนให้รู้แล้วเอาความรู้มาปฏิบัติฝึกหัดขัดเกลาตัวเองในชีวิตจริง 

อะไรที่ห้ามทำ ก็ไม่ทำจริงๆ 

อะไรที่ให้ทำ ก็ทำให้เกิดให้มีขึ้นได้จริงๆ 

นี่คือ “สิกขา” ในบาลี 

ความรู้กับการลงมือทำให้เป็นให้เกิดให้มี เป็นเรื่องเดียวกัน เนื้อเดียวกัน 

แต่เวลานี้เราพลาดท่า แยกเรื่องเรียนรู้กับการลงมือปฏิบัติในชีวิตประจำวันไว้คนละส่วน 

เราเรียนเพื่อรู้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามที่รู้

เรียนบาลีเพื่อสอบได้ แต่ไปไม่ถึงพระไตรปิฎก – นั่นชัดอยู่แล้ว 

ตะโกนบอกเท่าไรๆ ก็ไม่มีใครฟัง 

เรียนบาลีเพื่อสอบได้ ก็ดี ขออนุโมทนาสาธุ 

แต่ไม่ไปให้ถึงพระไตรปิฎกนี่ ไม่ดี และขออนุญาต-ไม่อนุโมทนา เพราะเป็นการศึกษาที่-พลาดท่า 

——————–

ตามหลักแล้ว เมื่อศึกษาพระธรรมวินัย ก็จะรู้ชัดว่าอะไรห้ามทำ และอะไรต้องทำ 

ต่อจากนั้นก็จะไม่ทำในสิ่งที่ห้าม และปฏิบัติตามในสิ่งที่อนุญาต 

เท่านี้ก็จะสามารถรักษาพระศาสนาไว้ได้

และถ้าซื่อตรงตามหลักนี้ บุคคลที่ท่านเรียกว่า “อลัชชี” ก็ไม่เกิด 

ภัยจากภายในพระศาสนาก็ไม่มี

นี่คือที่ตั้งชื่อย่อยไว้ข้างต้นว่า – ศึกษาพระธรรมวินัย ป้องกันภัยพระศาสนา 

เวลานี้มีกลุ่มคนที่ประกาศชัดๆ ว่า ชีวิตนี้จะอุทิศเพื่อกำจัดกวาดล้าง “อลัชชี” ให้หมดไปจากพระศาสนา 

เห็นพระถูกจับเข้าคุก ท่านจำพวกนี้ก็อนุโมทนาสาธุว่า อลัชชีหมดไปอีกหนึ่งแล้ว 

อีกสองแล้ว 

อีกสามแล้ว 

วัดความสำเร็จด้วยจำนวนพระที่ถูกจับเข้าคุก 

เข้าใจว่า-เชื่อว่า ถ้าพระถูกจับเข้าคุกมากๆ พระศาสนาก็จะบริสุทธิ์ 

ถ้าพระถูกจับเข้าคุกจนหมดประเทศ พระศาสนาก็บริสุทธิ์ผุดผ่องหาที่ติมิได้ 

ถ้าใช้ทฤษฎีนี้เป็นแนวคิดแนวปฏิบัติ ไม่ต้องให้มีพระแม้แต่รูปเดียว พระศาสนาก็จะบริสุทธิ์อย่างยิ่ง – ใช่หรือไม่ 

ใครก็ต้องบอกว่า ไม่ใช่ เขาไม่ได้ต้องการแบบนั้น 

ถ้าเช่นนั้น ต้องการแบบไหน 

ก็ต้องการให้มีแต่พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยนะซี 

เห็นหรือไม่ว่า-ในที่สุดก็วนกลับมาที่พระธรรมวินัย 

พระจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ก็ต้องศึกษาพระธรรมวินัย และต้องศึกษาให้เข้มข้นเข้มแข็ง 

ไม่ให้แผ่วลง 

และไม่ให้พลาดท่า

นั่นคือต้องทำให้การเรียนรู้กับการลงมือปฏิบัติเป็นเนื้อเดียวกัน-ตามความหมายที่ถูกต้องของคำว่า “ศึกษา” หรือ “สิกขา” 

ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้ เพื่อสอบได้ แต่การประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันเป็นอีกแบบหนึ่ง-แบบที่ไม่ทำตามพระธรรมวินัย 

เพราะ-เมื่อไม่ทำตามพระธรรมวินัย อลัชชีก็เกิด 

เป็นเหตุให้ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองหวังดีต่อพระศาสนาต้องออกมาประกาศอุทิศชีวิตเพื่อกำจัดอลัชชีให้หมดไปจากพระศาสนา-ไม่รู้จบ

——————–

ศึกษาพระธรรมวินัยแล้วเอาพระธรรมวินัยมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันจริงๆ – ก็ยังเป็นแค่คำพูด หรือเป็นเพียงหลัก หรือทฤษฎีลอยๆ 

จะเป็นจริงได้ ต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อมอีกหลายอย่าง พูดเป็นภาพรวมๆ ก็คือ การอบรม สั่งสอน ถ่ายทอด สืบต่อ ซึ่งจะต้องอาศัยการปกครองบังคับบัญชาที่เข้มแข็ง โดยผู้บริหารการพระศาสนาที่มีอุดมการณ์ มีไฟ มีความคิด มีอำนาจ และฉลาดลุ่มลึกในการใช้อำนาจ 

จะเห็นได้ว่า งานรักษาพระศาสนามิได้มีเพียงแค่การประกาศอุทิศชีวิตเพื่อกำจัดอลัชชีเท่านั้น 

ถ้าจะว่ากันจริงๆ การประกาศอุทิศชีวิตเพื่อกำจัดอลัชชีเป็นเพียงจัดการกับน้ำแข็งที่โผล่เหนือผิวน้ำเท่านั้น 

ถ้าหวังดีต่อพระศาสนาจริง ต้องจัดการกับน้ำแข็งใต้น้ำด้วย 

คืออย่างไร?

ก็คือ-ควรจะต้องกระตุกกระตุ้นเตือนเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกระดับ-ตั้งแต่เจ้าอาวาสจนถึงมหาเถรสมาคม ให้เคร่งครัดกวดขันเอาจริงเอาจังกับอลัชชีทั้งหลาย 

อบรม สั่งสอน กำราบ ปราบปรามอย่างจริงจังเด็ดขาด 

พระภิกษุสามเณรทุกรูปต้องมีสังกัด มีผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ-นี่เป็นหลักการที่กำหนดไว้แล้ว 

ผู้รักและห่วงพระศาสนาอย่าทำแค่กำจัดอลัชชี แต่ต้องเร่งรัดไปที่ผู้ปกครองดูแลทุกระดับด้วย 

ถ้าท่านปล่อยปละละเลย เฉื่อยชา ย่อหย่อน อ่อนแอ ก็ต้องเข็น ต้องไขลาน ต้องตำหนิติเตียนไปถึงตัวผู้ปกครองดูแลด้วย 

ทำอย่างนี้จึงจะเป็นการแก้ปัญหาถึงรากถึงโคน ถึงก้นทะเลจริงๆ

แต่ถึงกระนั้นก็ขอให้ฉุกคิดไว้ด้วย —

สมมุติว่า ในสังฆมณฑลมีแต่พระภิกษุสามเณรที่ทรงศีลบริสุทธิ์ผุดผ่องล้วนๆ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ 

ไม่มีอลัชชีแม้แต่ตัวเดียว

ท่านเชื่อหรือว่าพระพุทธศาสนาจะสถิตยั่งยืนในแผ่นดินไทยนี้ไปได้ชั่วกาลนานเทอญ?

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒

๑๕:๑๕

(มีตอน ๒) 

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *