เสนาสนะ (บาลีวันละคำ 3,237)
เสนาสนะ
ภาษาพระที่ควรรู้จัก
อ่านว่า เส-นา-สะ-นะ
แยกศัพท์เป็น เสน + อาสนะ
(๑) “เสน”
บาลีอ่านว่า เส-นะ รากศัพท์มาจาก สิ (ธาตุ = นอน) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), แผลง อิ ที่ สิ เป็น เอ (สิ > เส)
: สิ + ยุ > อน = สิน > เสน แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่นอน” หมายถึง (1) การนอน, การหลับ (lying, sleeping) (2) เก้าอี้นอน, ที่นอน (couch, bed)
(๒) “อาสนะ”
เขียนแบบบาลีเป็น “อาสน” อ่านว่า อา-สะ-นะ รากศัพท์มาจาก –
(1) อาสฺ (ธาตุ = นั่ง; ตั้งไว้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)
: อาสฺ + ยุ > อน = อาสน แปลตามศัพท์ว่า (1) “การนั่ง” “ที่นั่ง” (2) “ที่เป็นที่ตั้ง”
(2) อา (แทนศัพท์ “อาคนฺตฺวา” = มาแล้ว) + สิ (ธาตุ = นอน), ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), ลบ อิ ที่ สิ (สิ > ส, ภาษาไวยากรณ์ว่า “ลบสระหน้า”)
: อา + สิ = อาสิ > อาส + ยุ > อน = อาสน แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่มานอน” (คือแท่นหรือเตียงนอน) หมายถึง (1) การนั่ง, การนั่งลง (sitting, sitting down) (2) ที่นั่ง, บัลลังก์ (a seat, throne)
หมายเหตุ: “อาสน” ที่แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่มานอน” เป็นการแปลตามรูปวิเคราะห์ แต่หมายถึง “ที่นั่ง” เพราะโดยปกติแม้จะนอนก็ต้องนั่งก่อน
เสน + อาสน = เสนาสน (เส-นา-สะ-นะ) แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่นอนและที่เป็นที่นั่ง” หมายถึง ที่นอนและที่นั่ง, เตียงและเก้าอี้, ที่อยู่อาศัย, ที่พักอาศัย (sleeping and sitting, bed & chair, dwelling, lodging)
“เสนาสน” ใช้ในภาษาไทยเป็น “เสนาสนะ”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เสนาสนะ : (คำนาม) ที่นอนและที่นั่ง, ที่อยู่. (ใช้เฉพาะพระภิกษุ สามเณร). (ป. เสน + อาสน).”
อภิปรายขยายความ :
ในภาษาพระ “เสนาสนะ” หมายถึง ที่อยู่ที่อาศัยของพระ เมื่อมีการตั้งวัดเป็นหลักเป็นฐานในสังคมพระพุทธศาสนาแล้ว “เสนาสนะ” หมายรวมถึง สิ่งก่อสร้างทั้งปวงในอาราม
ในต้นพุทธกาล ภิกษุในพระพุทธศาสนาอาศัยโคนไม้เป็นที่พัก อันเป็นเครื่องแสดงให้รู้ว่าเป็นผู้สละละวางทรัพย์สินทั้งปวง แม้กระทั่งที่อยู่ก็อาศัยธรรมชาติล้วนๆ
หลักข้อหนึ่งใน 4 หลักแห่งการดำรงชีวิตของภิกษุที่พระอุปัชฌาย์ปฐมนิเทศให้ฟังตั้งแต่วันแรกที่บวชก็คือ “รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา” ถอดความว่า “ชีวิตนักบวชในพระพุทธศาสนาอาศัยโคนไม้เป็นที่อยู่”
แม้ภายหลังจะมีผู้มีศรัทธาสร้างที่พักถวายและมีพุทธานุญาตให้ภิกษุใช้สอยได้ การอยู่โคนไม้ก็ยังเป็นข้อปฏิบัติที่ถือกันว่าเป็นการขัดเกลาอัธยาศัยอย่างหนึ่ง ดังปรากฏเป็นธุดงค์ข้อหนึ่งในธุดงค์ 13 ที่เรียกว่า “รุกขมูลิกังคะ” แปลว่า “องค์แห่งภิกษุผู้ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร” (tree-root-dweller’s practice)
…………..
บรรพชิตในพระพุทธศาสนาเมื่อจะใช้สอยเสนาสนะ ท่านสอนให้พิจารณาก่อนดังนี้ –
…………..
ปะฏิสังขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ = เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วใช้สอยเสนาสนะ
ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ = เพียงเพื่อบำบัดความหนาว
อุณ๎หัสสะ ปะฏิฆาตายะ = เพื่อบำบัดความร้อน
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ = เพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย
ยาวะเทวะ อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสัลลานารามัตถัง. = เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟ้าอากาศ และเพื่อความเป็นผู้ยินดีอยู่ได้ในที่หลีกเร้นสำหรับภาวนา
…………..
การพิจารณาก่อนใช้สอยเสนาสนะเช่นนี้เป็นเครื่องแสดงถึงการดำรงชีพตามวิถีชีวิตของสงฆ์
…………..
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2505 คณะสงฆ์ไทยแบ่งงานออกเป็น 4 สาย เรียกว่า “องค์การ” คือ –
องค์การปกครอง
องค์การศึกษา
องค์การเผยแผ่
องค์การสาธารณูปการ
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2535 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแม้จะไม่มีองค์การเหล่านี้แล้ว แต่คณะสงฆ์ก็ยังทำงานตามแนวของ “องค์การ” ที่เคยมีมา ทั้งยังได้เพิ่มงานขึ้นอีกรวมเป็น 6 ด้าน คือ –
การปกครอง
การศาสนศึกษา
การศึกษาสงเคราะห์
การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
การสาธารณูปการ
การสาธารณสงเคราะห์
คำว่า “สาธารณูปการ” ของคณะสงฆ์ไทย เป็นที่รู้เข้าใจกันว่าคือ งานเกี่ยวกับการก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะนั่นเอง
งานที่เกี่ยวกับ “เสนาสนะ” นี้ เคยมีความสำคัญมากถึงกับใช้เป็นตัวชี้วัดว่าพระสังฆาธิการรูปไหนควรจะได้รับสมณศักดิ์หรือตำแหน่งหน้าที่ในคณะสงฆ์ให้ดูที่-ได้สร้างเสนาสนะ เช่นสร้างโบสถ์ สร้างศาลามาแล้วกี่หลัง
แม้เวลานี้ ทั้งๆ ที่จำนวนพระภิกษุสามเณรตามวัดต่างๆ ลดลงไปทุกทีอย่างน่าวิตก แต่ค่านิยมสร้างเสนาสนะก็ยังไม่ได้หมดไปจากสังคมไทย
พระสังฆาธิการระดับจังหวัดรูปหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า สร้างวัดไม่กี่ปีก็เสร็จ แต่การดูแลรักษาวัดต้องทำโดยไม่มีวันเสร็จ
…………..
ดูก่อนภราดา!
: สร้างเสนาสนะ พระอาศัยได้ร้อยปี
: สร้างบุญบารมี โลกอาศัยเราไปได้ชั่วกาลนาน
#บาลีวันละคำ (3,237)
23-4-64