บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

บทความเรื่อง กระบือบอด

ลำดันนั้น   พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถาที่  ๕   แก่วิเทหดาบสนั้น

ว่า :-

                        ผู้ถูกตักเตือน   จะแค้นเคืองหรือไม่แค้น

           เคืองก็ตามเถิด      หรือจะเขี่ยทิ้งเหมือนโปรย

           แกลบทิ้งก็ตาม     เมื่อเรากล่าวคำเป็นธรรมอยู่

           ขึ้นชื่อว่าบาป  ย่อมไม่เปรอะเปื้อนเรา.

         บรรดาบทเหล่านั้น   บทว่า    กาม   ความว่า.   โดยส่วนเดียว.  มี

คำอธิบายว่า บุคคลผู้ทำกรรมไม่สมควร เมื่อถูกตักเตือนว่า ท่านทำกรรม

ไม่ควรแล้ว    จะโกรธโดยส่วนเดียวก็ตาม   หรือไม่โกรธก็ตาม.   อีก

อย่างหนึ่งเขาจะเขี่ยทิ้งเหมือนกำแกลบหว่านทิ้งก็ตาม  แต่ว่าเมื่อเรากล่าว

คำเป็นธรรมอยู่  ขึ้นชื่อว่าบาปย่อมไม่มี.

         ก็แหละพระโพธิสัตว์   ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว   ได้ดำรงอยู่ในข้อ

ปฏิบัติที่สมควรแก่โอวาทของพระสุคตนี้ว่า   ดูก่อนอานนท์   เราตถาคต

จักไม่ทะนุถนอมเลย      เหมือนช่างหม้อทะนุถนอมภาชนะดินเหนียวที่

ยังดิบ ๆ  ฉะนั้น    เราตถาคตจักบำราบเอาบำราบเอา   ผู้ใดหนักแน่นเป็น

สาระ   ผู้นั้นก็จักดำรงอยู่ได้   เมื่อจะตักเตือนวิเทหดาบสอีก    เพื่อแสดง

ให้เห็นว่า   ท่านตักเตือนบำราบแล้ว   ตักเตือนบำราบอีก     จึงรับบุคคล

ทั้งหลายผู้เช่นกับภาชนะดินที่เผาสุกแล้วไว้    เหมือนช่างหม้อเคาะดูแล้ว

เคาะดูอีก   ไม่รับเอาภาชนะดินที่ยังดิบไว้   รับเอาเฉพาะภาชนะดินที่เผา

สุกแล้วเท่านั้นไว้ฉะนั้นดังนี้แล้ว   จึงได้กล่าวคาถา  ๒  คาถาไว้ว่า :-

                        ถ้าสัตว์เหล่านี้ไม่มีปัญญาของตนเอง หรือ  

           วินัยที่ศึกษาดีแล้วไซร้         คนจำนวนมากก็จะ

           เที่ยวไป   เหมือนกระบือตาบอดเที่ยวไปในป่า

           ฉะนั้น  แต่เพราะเหตุที่ธีรชนบางเหล่า  ศึกษาดี

           แล้วในสำนักอาจารย์ฉะนั้น    ธีรชนผู้มีวินัยที่

           ได้แนะนำแล้ว   จึงมีจิตตั้งมั่นเที่ยวไปอยู่.

         คาถานี้มีเนื้อความว่า   ดูก่อนสหายวิเทหะ   เพราะว่าถ้าหากสัตว์

เหล่านี้    ไม่มีปัญญาหรือไม่มีวินัยคืออาจารบัญญัติ   ที่ศึกษาดีแล้วเพราะ

อาศัยเหล่าบัณฑิตผู้ให้โอวาทไซร้   เมื่อเป็นเช่นนี้คนเป็นอันมาก   ก็จะ

เป็นเช่นท่านเที่ยวไป    เหมือนกระบือตาบอด  ไม่รู้ที่ ๆ เป็นที่โคจรหรือ

อโคจร    มีสิ่งที่น่ารังเกียจหรือไม่มีสิ่งที่น่ารังเกียจ    เที่ยวไปในพงหญ้า

และเถาวัลย์เป็นต้น       แต่เพราะเหตุที่สัตว์      บางพวกในโลกนี้       ที่

ปราศจากปัญญาของตนศึกษาดีแล้ว   ด้วยอาจารบัญญัติในสำนักอาจารย์

เพราะฉะนั้น   สัตว์เหล่านั้นชื่อว่ามีวินัยที่แนะนำแล้ว  เพราะตนเป็นผู้ที่

อาจารย์แนะนำแล้ว     ด้วยวินัยที่เหมาะสม      คือเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว

ได้แก่เป็นผู้มีจิตเป็นสมาธิเที่ยวไปดังนี้.      ด้วยคาถานี้ท่านคันธารดาบส

แสดงคำนี้ไว้ว่า   จริงอยู่    คนนี้เป็นคฤหัสถ์    ก็ศึกษาสิกขาที่สมควรแก่

ตระกูลของตน เป็นบรรพชิตก็ศึกษาสิกขาที่สมควรแก่บรรพชิต  อธิบาย

ว่า    ฝ่ายคฤหัสถ์เป็นผู้ศึกษาดีในกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้น    ที่

เหมาะสมแก่ตระกูลของตนแล้วเที่ยว    ก็จะเป็นผู้มีความเป็นอยู่สมบูรณ์

มีใจมั่นคงเที่ยวไป.  ส่วนบรรพชิต   เป็นผู้ศึกษาดีในอาจาระมีการก้าวไป

ข้างหน้าและการถอยกลับเป็นต้น   และในอธิสีลสิกขา   อธิจิตสิกขาและ

อธิปัญญาสิกขาทั้งหลายที่เหมาะสมแก่บรรพชิต   ที่น่าเลื่อมใสแล้วก็เป็น

ผู้ปราศจากความฟุ้งซ่านมีจิตตั้งมั่นเที่ยวไป.   เพราะว่าในโลกนี้ :-

                        ความเป็นพหูสูต   ๑  วินัยที่ศึกษาดีแล้ว  ๑

           วาจาที่เป็นสุภาษิต  ๑  สามอย่างนี้เป็นมงคลอัน

           สูงสุดดังนี้.

         วิเทหดาบสได้ฟังคำนั้นแล้ว    ไหว้ขอขมาพระมหาสัตว์ว่า   ข้าแต่

ท่านอาจารย์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอท่านจงตักเตือนจงพร่ำสอนเราเถิด

เรากล่าวกะท่านเพราะความเป็นผู้ไม่มีความยับยั้งใจโดยกำเนิด    ขอท่าน

จงให้อภัยแก่เราเถิด. ท่านทั้ง ๒ นั้นอยู่สมัครสมานกันแล้วได้พากันไปป่า

หิมพานต์อีกนั่นแหละ   ณ  ที่นั้นพระโพธิสัตว์ได้บอกกสิณบริกรรมแก่

วิเทหดาบส.       ท่านสดับแล้วยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น.   ทั้ง  ๒

ท่านนั้นเป็นผู้มีฌานไม่เสื่อมแล้ว    ได้เป็นผู้มีพรหมโลก    เป็นที่ไปใน

เบื้องหน้า.

         พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประชุม

ชาดกไว้ว่า   วิเทหราชาในครั้งนั้น    ได้แก่พระอานนท์ในบัดนี้     ส่วน

คันธารราชา  ได้แก่เราตถาคต   ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาคันธารชาดกที่  ๑

พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล เล่ม ๕๙ หน้า ๓๒๐-๓๓๑

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *