ความไม่เข้าใจเรื่องพระนิพพาน
เมื่อพระสงฆ์ถึงแก่มรณภาพ ก็มักจะมีถ้อยคำแสดงความปรารถนาดี เช่น –
น้อมส่งท่านสู่แดนนิพพาน
ขอให้ท่านไปเสวยสุขในพระนิพพานโน้นเทอญ
แบบนี้คือผู้คนยังเข้าใจเป้าหมายของการบวชถูกต้องอยู่ นั่นคือ บวชเพื่อบรรลุนิพพาน เมื่อพระสงฆ์มรณภาพจึงแสดงความปรารถนาดีให้ท่านบรรลุนิพพานสมกับที่เป็นเป้าหมายของการบวช
ตรงนี้มีแง่คิดนิดหนึ่งว่า การกล่าวแสดงความปรารถนาดีเช่นนั้นอาจจะมองได้ว่าเป็นการพูดตามมารยาทอย่างหนึ่งเท่านั้น แบบเดียวกับเมื่อได้ทราบว่ามีญาติมิตรเสียชีวิต เราก็พูดกันว่า “ขอจงไปสู่สุคติเถิด” แต่เมื่อเป็นพระ เราก็เลยเปลี่ยนจาก “สุคติ” เป็น “นิพพาน”
อีกแง่หนึ่ง เมื่อคนทั้งหลายเขาเข้าใจว่าพระท่านบวชเพื่อบรรลุนิพพานเช่นนั้นแล้ว ตัวพระสงฆ์เองเข้าใจและระลึกรู้เช่นนั้นอยู่เสมอด้วยหรือเปล่า เรื่องนี้พระสงฆ์คงต้องตอบด้วยตัวท่านเอง
แต่สำหรับชาวบ้านหรือคนทั้งหลายที่กล่าวเช่นนั้น-คือกล่าวว่า-น้อมส่งท่านสู่แดนนิพพาน-เป็นต้น ผู้กล่าวเข้าใจว่าแดนนิพพานคืออะไร?
………………….
คนส่วนมากเข้าใจไปว่า พระนิพพานคือแดนดินถิ่นฐานหรือภพภูมิชนิดหนึ่ง หรือเป็นโลกโลกหนึ่ง ซึ่งเวลานี้มีอยู่แล้ว ณ ที่แห่งหนึ่ง พอตายวิญญาณก็ไปสถิตอยู่ที่ภพภูมินั้น
แต่เมื่อว่าตามกฎ – ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา – ถ้าพระนิพพานเป็นภพภูมิ พระนิพพานก็ไม่ใช่อมตะอย่างที่เรียกกัน เพราะในที่สุดก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา นี่คือวิธีคิดตามกฎ
ดังนั้น พระนิพพานจึงไม่ใช่ภพภูมิที่มีอยู่แล้ว ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในเวลานี้
ถ้าเช่นนั้นพระนิพพานคืออะไรหรือคืออย่างไร?
ความเข้าใจของผม-เท่าที่ได้ศึกษามาเป็นดังนี้ —
พระนิพพานเป็นสภาวะหรือเป็นคุณภาพของจิต
พระนิพพานไม่ใช่สิ่งอื่นที่แยกออกไปจากจิต
พระนิพพานอยู่กับจิตของผู้บรรลุพระนิพพานนั่นเอง กล่าวคือเมื่อปฏิบัติกับจิตตามกระบวนการที่ถูกต้องถึงที่สุดแล้ว จิตก็จะมีคุณสมบัติหรือคุณภาพที่เรียกว่าพระนิพพานเกิดขึ้น ที่เรียกกันว่าบรรลุพระนิพพาน
พระนิพพานไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้ว ณ ภพภูมิแห่งหนึ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นคลังเก็บพระนิพพาน พอใครปฏิบัติธรรมถึงขั้นแล้วพระนิพพานก็จะเข้ามาสถิตอยู่ที่จิตของผู้นั้น และทำให้จิตของผู้นั้นเป็นอมตะตลอดไป แม้ร่างกายแตกดับไปแล้วจิตก็ยังอยู่เป็นอมตะ – ไม่ใช่เช่นที่ว่านี้เลย
ผู้บรรลุพระนิพพานจึงไม่ต้องออกเดินทางไปสู่พระนิพพานที่ไหนอีก เพราะพระนิพพานอยู่กับจิตของผู้นั้นแล้ว เมื่อธาตุขันธ์หมดอายุดับไปก็ไม่มีเชื้อไม่มีปัจจัยอะไรเหลืออยู่ในอันที่จะก่อตัวให้เกิดเป็นอะไรต่อไปอีก ที่เรียกเป็นคำสรุปว่า สิ้นภพจบชาติ ซึ่งท่านบรรยายเป็นคำบาลีว่า –
………………….
อยมนฺติมา ชาติ ธาตุขันธ์ที่เกิดมานี้เป็นครั้งสุดท้าย
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อจากนี้ไม่มีอะไรที่จะเกิดอีก
………………….
และเมื่อธาตุขันธ์ของผู้บรรลุพระนิพพานแตกดับแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ยัง “มี” เหลืออยู่ เพราะถ้ามี อะไรที่มีนั้นก็จะต้อง “ไม่มี” ในที่สุด ตามกฎ – ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา – และพระนิพพานก็มิได้อยู่เหนือกฎข้อนี้
………………….
มนุษย์ส่วนมากยึดติดในความมีความเป็น แม้มาได้สดับว่าในพระพุทธศาสนามีคำสอนเรื่องพระนิพพาน ก็ยังคาดหวังอยู่ว่าตัวเราจะต้องไปมีไปเป็นอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าพระนิพพานนั้น เพื่อเสวยสุขเป็นอมตะนิรันดร์กาล โดยลืมเฉลียวใจคิดถึงหลักสัจธรรมพื้นฐานที่ว่า สิ่งใดเกิดมีขึ้น สิ่งนั้นก็ต้องไม่มีในที่สุด จะคงมียั่งยืนอยู่ตลอดไปหาได้ไม่
………………….
ขอย้ำว่า ที่ว่ามานี้คือความเข้าใจของผม
และหวังว่าจะไม่มีท่านผู้ใดใครผู้หนึ่งเข้ามากระแหนะกระแหนว่า-แหม พูดยังกะบรรลุพระนิพพานแล้วเชียวนะ ทำไมไม่ไปบวชเสียล่ะ
เป็น “ความเข้าใจ” ครับ ไม่ใช่บรรลุแล้ว ท่านผู้ใดเห็นว่าเข้าใจผิด ก็ขอความเมตตาช่วยปรับแก้ให้ถูกต้องได้ นั่นคือช่วยกันศึกษาและช่วยกันบอกว่า-ที่ถูกต้องคืออย่างไร
เวลาเห็นพระท่านถึงแก่มรณภาพ เราจะได้ใช้ถ้อยคำแสดงความปรารถนาดีกันอย่างถูกต้องและอย่างมั่นใจว่าถูกต้องแน่
………………….
ผมชอบใจคำบรรยายตอนจบในหนังสือเรื่อง “กามนิต” ของเสฐียรโกเศศ และ นาคะประทีป เป็นคำบรรยายในบทสุดท้ายที่ชื่อว่า “กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล” ทั้งเป็นคำบรรยายย่อหน้าสุดท้ายของหนังสือด้วย
ข้อความเป็นดั่งนี้
………………..
ระวางกลางวิศวากาศอันหาเขตกำหนดมิได้ สกลจักรวาลานุจักรวาลเกิดขึ้นแล้วชั่วแล่นหนึ่งก็ประลัยลาญ เกิดเป็นวันใหม่ของพรหมโลกเป็นวันหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าหนึ่งกัลป์ ส่วนกามนิตนักถือเอาซึ่งสัญจาริกเป็นบุณยวัตร ก็ดับรอบจริมจิตสิ้นเชื้อไปเองเหมือนแสงไฟในโคมที่ดับ เพราะหมดน้ำมันที่หล่อเลี้ยงไส้ไว้จนหยาดสุดท้าย ฉะนั้นแล
………………..
ใครๆ ก็ว่ากันว่า “กามนิต” เป็นนิยายอิงพระพุทธศาสนามหายานที่มีแดนสุขาวดีให้ไปสถิตอยู่เป็นอมตะตลอดกาล
แต่อ่านมาถึงย่อหน้าสุดท้ายก็จะเห็นว่า กามนิตและวาสิฏฐีตัวเอกของเรื่องไม่ได้ไปสถิตอยู่ที่แดนสุขาวดีหรือแดนใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่ “ดับรอบจริมจิตสิ้นเชื้อไปเองเหมือนแสงไฟในโคมที่ดับ เพราะหมดน้ำมันที่หล่อเลี้ยงไส้ไว้จนหยาดสุดท้าย” อันเป็นลักษณะของพระนิพพานชัดๆ
ช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับบ้าน หาหนังสือ “กามนิต” มาอ่านก็ดีนะครับ ได้ธรรมบันเทิง คือได้ข้อคิดทางธรรมด้วย ได้ความบันเทิงด้วย โดยเฉพาะได้ลิ้มรสภาษาไทยที่งดงามอลังการที่ปราชญ์ท่านรังสรรค์ไว้เป็นสมบัติของบ้านเมือง
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔
๑๗:๔๐
……………………………..