บทความชุด :
ถ้าจะรักษาพระศาสนา
จงรักษาวิถีชีวิตสงฆ์
-๑๑-
อย่ามัวแต่หลงทางกันอยู่ตรงนี้ (๑)
——————————–
ขอเสนอข้อควรคิดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวพันอยู่กับวิถีชีวิตสงฆ์ นั่นคือ มีเหตุผลอะไรท่านจึงบอกว่า ทำบุญกับพระสงฆ์ได้บุญมากกว่าให้ทานแก่คนธรรมดา
ตรงนี้ต้องตามไปดูกำเนิดของวิถีชีวิตสงฆ์
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่แสดงหนทางปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของพระศาสนาทรงชี้ทางไว้ว่า การปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์จะได้ผลดีต้องออกจากเรือนไปสู่ความเป็นผู้ไม่มีบ้านเรือน มีหลักมีเกณฑ์ในการครองชีวิตอีกแบบหนึ่งต่างจากผู้ครองเรือน
คำแนะนำนี้มีตัวพระพุทธเจ้าเองเป็นบทพิสูจน์ และต่อมาก็มีพระสงฆ์สาวกทั้งหลายเป็นพยานยืนยัน
พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย แต่เดิมก็คือชาวบ้านธรรมดาเหมือนเราท่านนี่เอง ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่ไหน เป็นชาวบ้านที่ฟังคำสอนแล้วเกิดศรัทธา
แล้วออกบวช
แล้วปฏิบัติตาม
แล้วบรรลุธรรม
ที่ยังไม่บรรลุก็พยายามปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบเพื่อบรรลุในโอกาสต่อไป
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่มีเพศสมณะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา และที่มีการดำรงวิถีชีวิตสงฆ์สืบกันมาก็ด้วยเป้าหมายนี้-คือเพื่อพยายามปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบเพื่อบรรลุธรรมในโอกาสต่อไป
ฝ่ายชาวบ้านที่มีศรัทธา แต่ยังไม่พร้อมที่จะออกบวช เมื่อได้เห็นพวกที่พร้อมกว่าได้ออกบวชไปแล้ว ก็มีแก่ใจสนับสนุนด้วยปัจจัยต่างๆ เพื่อให้ผู้ออกบวชมีความสะดวกในการครองชีพ จะได้มุ่งปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบเพื่อบรรลุธรรมต่อไป
นี่คือเหตุผลต้นเดิมที่ชาวพุทธมีศรัทธาในการใส่บาตร-คือในการอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์สามเณร อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
และที่ว่าถวายทานแก่พระสงฆ์ได้บุญมากกว่าให้ทานแก่สัตว์ แก่คนธรรมดา ก็ด้วยเหตุผลข้อนี้แหละ
คือเหตุผลที่ว่า-เป็นการสนับสนุนให้คนดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์
ถึงตัวเองจะยังไปไม่ได้ แต่ก็สนับสนุนคนที่เขาไปได้
ถามว่า ที่เราใส่บาตรกันทุกเช้าทุกวันนี้ มีใครได้คิดไปให้ถึงเหตุผลต้นเดิมตรงนี้กันบ้าง?
นอกจากใส่บาตรทุกเช้าแล้ว การอุปถัมภ์บำรุงในรูปแบบอื่นๆ ทุกอย่าง สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างกุฏิ บริจาคที่ดิน ตั้งทุนมูลนิธิ บำรุงการศึกษาพระปริยัติธรรม บวชเณร บวชพระ ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ฯลฯ ก็ล้วนแต่มีรากเหง้าเค้าเดิมมาจากการสนับสนุนให้คนดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งสิ้น
เราได้คิดสาวไปให้ถึงเหตุต้นเค้าที่แท้จริงของการมีศรัทธากันบ้างหรือเปล่า
เมื่อทำกันนานเข้าจนกลายเป็นวัฒนธรรม ประเพณี เป็นค่านิยม เราก็เลยลืมกันไปว่าเหตุผลที่แท้จริงของการกระทำเช่นนั้นคืออะไร
กลายเป็นทำตามประเพณี หนักเข้าก็เลยเป็น “ความเชื่อ” คือศรัทธาล้วนๆ ไม่ได้มองไปที่เหตุผลที่แท้จริงของการกระทำเช่นนั้น
และในที่สุดก็ถึงขั้น-ไม่ต้องการคำอธิบายหรือเหตุผลใดๆ
ใครจะพูดจะชี้แจงก็ไม่อยากฟัง (ซ้ำชักจะรำคาญเอาด้วย)
ขอเพียงแค่ให้ได้ทำ เท่านั้นพอ
และมีเป็นอันมากที่อ้างเหตุผลเพียงว่า ทำแล้วสบายใจ ก็พอแล้ว ขอแค่นั้น
สมณเพศที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นทางดำเนินหรือเป็นวิถีชีวิตของผู้ขัดเกลาจึงเริ่มเบี่ยงเบน เจตนาของการบวชเริ่มเปลี่ยนไป เป็นที่มาของคำพูดเล่นหัวเชิงถากถางที่ว่า
บวชเล่น
บวชลอง
บวชครองประเพณี
บวชหนีสงสาร
บวชผลาญข้าวสุก
บวชสนุกตามเพื่อน
วิถีชีวิตของสมณะ-วิถีชีวิตสงฆ์ ที่ต่างจากชาวบ้าน เป็นวิถีชีวิตที่มุ่งขัดเกลาตนเอง ก็เริ่มแปรผัน หวนกลับมาใกล้ไปทางวิถีชาวบ้านเข้าไปอีก
สละสิทธิ์เข้าไปครองเพศสมณะแล้ว แต่ยังเรียกร้องต้องการใช้สิทธิ์เหมือนชาวบ้าน
……………………
มีท่านจำพวกหนึ่งให้เหตุผลว่า งานต่างๆ ที่พระกำลังทำอยู่ในทุกวันนี้ ถ้าเป็นชาวบ้านทำ คนเขาก็ไม่ศรัทธา ที่เขาศรัทธาก็เพราะความเป็นพระ
แต่เหตุผลที่ว่า-ผู้คนศรัทธาเพราะความเป็นพระนี่แหละ เป็นเหตุผลแบบโค้งหักศอกอยู่ในตัว
นั่นคือจะต้องถามกลับไปอีกทีหนึ่งว่า ก็แล้วเพราะเหตุผลอะไรกันเล่าชาวบ้านจึงเลื่อมใสศรัทธาและอุปถัมภ์บำรุงพระ?
คำถามนี้ตอบเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องย้อนกลับไปดูคำตอบข้างต้นที่ชี้ให้ดูมาแล้ว
นั่นคือ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่แสดงหนทางปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ พระคือผู้ที่ฟังคำสอนแล้วเกิดศรัทธา แล้วออกบวช แล้วปฏิบัติตาม
ฝ่ายชาวบ้านที่มีศรัทธาในหลักคำสอน เมื่อได้เห็นพระสงฆ์ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบเพื่อบรรลุธรรม ก็จึงสนับสนุนด้วยประการต่างๆ
นี่คือเหตุผลที่ถูกต้องแท้จริงที่ชาวพุทธมีศรัทธาในเพศสมณะ ศรัทธาในวิถีชีวิตสงฆ์
……………………
(มีต่อ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔
๑๐:๒๐