เสียงสั้น-ยาว: สัมผัสต่างมาตรา
เสียงสั้น-ยาว: สัมผัสต่างมาตรา
กติกาที่คนเขียนกลอนสมัยใหม่มองเมิน
กติกาอย่างหนึ่งของกลอนแปดที่คนเขียนกลอนสมัยใหม่ไม่ยอมเข้าใจ ก็คือ เสียงสั้นกับเสียงยาวสัมผัสกันไม่ได้ ผมขอใช้ภาษาฉันทลักณ์เรียกเองว่า “สัมผัสต่างมาตรา”
คำว่า “สัมผัส” ในฉันทลักษณ์ไทยมี ๒ อย่าง คือสัมผัสสระและสัมผัสอักษร
สัมผัสสระ คือเสียงสระ เช่น อา อี อู เอ แอ โอ ไอ อำ เอา เป็นต้น รับกันหรือฟัดกัน กล่าวคือใช้คำที่มีเสียงสระเดียวกันในตำแหน่งที่บังคับว่าต้องเป็นคำสระเสียงเดียวกัน
สัมผัสอักษร คือใช้คำที่เป็นอักษรเดียวกันหรืออักษรที่มีเสียงเทียบคู่กัน เช่น ข กับ ค, ฉ กับ ช, ถ กับ ท, ผ กับ พ เป็นต้น ในตำแหน่งที่กำหนดว่าควรเป็นคำที่รับสัมผัสกัน
ตัวอย่างวรรณคดีที่จะพบสัมผัสอักษรได้แพรวพราวไปตลอดทั้งเรื่องก็คือ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
นอกจากนี้ยังมีสัมผัสอีกคู่หนึ่ง คือสัมผัสนอกและสัมผัสใน
สัมผัสนอก-สัมผัสใน ก็คือสัมผัสสระและสัมผัสอักษรนั่นแหละ เรียกว่าสัมผัสนอก-สัมผัสในก็เพื่อบอกตำแหน่งคำที่ต้องสัมผัสกัน
สัมผัสนอก คือสัมผัสระหว่างวรรคหนึ่งกับอีกวรรคหนึ่งในบทเดียวกัน หรือระหว่างบทหนึ่งกับอีกบทหนึ่ง ในตำแหน่งที่บังคับว่าต้องเป็นคำสระเสียงเดียวกัน
สัมผัสใน คือสัมผัสในวรรคเดียวกัน ในตำแหน่งที่กำหนดว่าควรเป็นคำที่รับสัมผัสกัน
สัมผัสสระใช้กับสัมผัสนอกและสัมผัสใน
สัมผัสอักษรใช้เฉพาะสัมผัสในเท่านั้น
ที่ตั้งชื่อเรื่องว่า “เสียงสั้น-ยาว: สัมผัสต่างมาตรา” หมายถึงสัมผัสสระหรือสัมผัสนอกเท่านั้น
กลอนแปดมีข้อกำหนดว่า หนึ่งบทมี ๔ วรรค หนึ่งวรรคมี ๘ คำ (อนุโลมให้เป็น ๙ หรือ ๑๐ คำได้-ถ้าจำเป็น)
คำในตำแหน่งไหนต้องสัมผัสกัน ในที่นี้จะไม่อธิบาย ละไว้ฐานเข้าใจ คนเขียนกลอนต้องรู้ ไม่รู้ก็แต่งกลอนไม่ได้
………………
ทีนี้ก็มาถึงตัวปัญหา – เสียงสั้น-ยาวรับสัมผัสกันไม่ได้ หมายถึงอย่างไร
ลองฟังเสียงต่อไปนี้ คำหน้าเสียงสั้น คำหลังเสียงยาว –
อัง-อาง เช่น ยัง-ยาง
อัน-อาน เช่น กัน-การ
ไอ-อาย เช่น ไกล-กลาย
อำ-อาม เช่น จำ-จาม
เอา-อาว เช่น เขา-ขาว
คำเสียงสั้น-ยาวแบบนี้แหละที่ฉันทลักษณ์กลอนไทยกำหนดว่าใช้รับสัมผัสกันไม่ได้
แต่คนเขียนกลอนสมัยใหม่ไม่เข้าใจ
แต่จะว่าไม่เข้าใจก็คงไม่ใช่ ผมเคยอธิบายให้พรรคพวกฟังอย่างละเอียด เขาฟังแล้วก็เข้าใจหมดทุกคำ แต่พอไปแต่งกลอนจริงๆ เขาก็ยังคงใช้คำเสียงสั้น-ยาวรับสัมผัสกันอยู่นั่นเอง
ลองฟังตัวอย่าง
………………………….
โรคโควิดติดมนุษย์จนสุดแก้
สู้กันแย่เยียวยาท่าไม่ไหว
บางคนอยู่สู้ทนบางคนตาย
ไม่วอดวายความหวังก็ยังมี
………………………….
“ไหว” กับ “ตาย” อยู่ในตำแหน่งที่ต้องสัมผัสสระกัน
ไหว-ไอ ตาย-อาย สั้นกับยาวสัมผัสกันไม่ได้
………………………….
ถ้ามีเงินไม่น้อยสักร้อยล้าน
จะปลูกบ้านสวยลิบสักสิบหลัง
ซื้อรถเก๋งมาขับนับสตังค์
พาแม่นางหน้านวลชวนไปนอน
………………………….
“หลัง” กับ “นาง” อยู่ในตำแหน่งที่ต้องสัมผัสสระกัน
หลัง-อัง นาง-อาง สั้นกับยาวสัมผัสกันไม่ได้
………………………….
ที่อยากไล่ให้ออกตะคอกขู่
ว่าขืนอยู่ชาติยับถึงคับขัน
อยากให้อยู่ชูป้ายก็หลายพัน
รัฐบาลชาติไหนเหมือนไทยแลนด์
………………………….
“ขัน” กับ “บาล” อยู่ในตำแหน่งที่ต้องสัมผัสสระกัน
ขัน-อัน บาล-อาน สั้นกับยาวสัมผัสกันไม่ได้
คนแต่งกลอนสมัยใหม่อาจบอกว่า ฉันทลักษณ์จะกำหนดอย่างไรก็กำหนดไปเถิด แต่ข้าพเจ้าจะแต่งตามความพอใจของข้าพเจ้า คนเราควรมีอิสรเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ-ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน การใช้สระสั้นกับสระยาวรับสัมผัสกัน ไม่ได้ผิดกฎหมายและไม่ได้ละเมิดศีลธรรมอันดีของประชาชน มันไปทำให้ใครเดือดร้อนตรงไหน
………………
ผมลองประมวลดูแล้ว มีข้ออ้างหรือเหตุผล ๓ ข้อที่คนแต่งกลอนสมัยใหม่นิยมยกขึ้นมาอ้าง คือ –
๑ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรซ้ำซากจำเจอยู่กับกฎเกณฑ์เก่าๆ
สมัยหนึ่งมีคำพูดว่า “ปลดแอกฉันทลักษณ์” คือแต่งคำประพันธ์โดยไม่มีสัมผัสและไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น นึกอะไรได้ ก็เขียนออกมา จัดบรรทัดให้เป็นวรรคเป็นตอนเข้าสักหน่อย แล้วก็เรียกกันว่า เขียนกลอนหรือแต่งกลอน
กลุ่มคำที่เขียนออกมาโดยไม่มีสัมผัสอะไรทั้งสิ้นนี้ เคยมีคนเรียกว่า “กลอนเปล่า” นับถือกันว่าเป็นแนวทางใหม่หรือเป็นการสรรค์สร้างอย่างเสรีที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่เวลานี้ก็ไม่มีใครนิยมกันอีกแล้ว
๒ ใครๆ เขาก็ทำกัน-ที่ไหนๆ เขาก็ทำอย่างนี้
คือพอมีคนทำอะไรผิดๆ แผลงๆ เข้าสักคนหนึ่ง-เช่นแต่งกลอนใช้เสียงสั้น-ยาวรับสัมผัสกันดังที่อธิบายมาเป็นต้น-แล้วไม่มีใครทักท้วง หรือมีคนทักท้วง แต่ไม่มีใครฟัง ก็จะมีคนทำตาม แล้วก็มีคนทำตามอีก และทำตามกันต่อๆ มา คราวนี้ก็กลายเป็นข้ออ้างได้ – ใครๆ เขาก็ทำกัน-ที่ไหนๆ เขาก็ทำอย่างนี้
ผิดกลายเป็นถูก หรือผิดจนถูก เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะข้ออ้างแบบนี้ และไม่ใช่เรื่องแต่งกลอนอย่างเดียว หากแต่อ้างได้ทุกเรื่อง
ผมนึกถึงคำกล่าวของใครก็ไม่ทราบที่พูดถึงประชาธิปไตย ที่ว่า “เสียงข้างมากบอกความถูกใจได้ แต่บอกความถูกต้องไม่ได้”
๓ คนเราควรมีอิสรเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ-ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ข้อนี้เป็นข้อที่น่าจับตามอง เวลานี้แนวคิดที่ว่า “คนเราควรมีอิสรเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ-ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน” กำลังจะเป็นที่นิยมอ้างกันทั่วไป โดยมีสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเป็นพื้นฐาน
ก็ยังดีที่-เวลานี้ยังอุตส่าห์นึกถึงกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่ถ้านิยมอ้างอย่างนี้กันมากเข้า วันข้างหน้าอาจจะไม่นึกถึงอะไรเลย
………………
ข้อที่ผมขออนุญาตชวนคิดก็คือ มนุษย์เราไม่ได้อยู่รวมกันเป็นสังคมโดยอาศัยกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชนเพียง ๒ อย่างเท่านี้ แต่ยังมีมากกว่านี้ นั่นก็คือสิ่งที่เรียกเป็นคำรวมว่า “วัฒนธรรม” คือความดีความงามความเจริญจรุงใจในลักษณาการต่างๆ มากมายหลายหลาก
อันที่จริง คำว่า “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” นั้น แยกเป็น “ศีล” และ “ธรรม” และวัฒนธรรมก็รวมอยู่ในคำว่า “ธรรม” นั้นด้วย
ภาษาก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และภาษาที่ดีย่อมต้องมีระเบียบ การใช้ภาษาให้ถูกระเบียบจึงเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามเจริญจรุงใจ
ยิ่งเป็นการใช้ภาษาในทางฉันทลักษณ์-คือแต่งกลอน-ระเบียบของภาษาก็ยิ่งสลับซับซ้อนละเอียดอ่อนขึ้นไปอีกหลายเท่า
หลัก-สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล-นั้น อ้างได้แน่นอน แต่ต้องเป็นเฉพาะเรื่องส่วนตัว ไม่พัวพันกับสาธารณะ
เวลานี้เรากำลังหลงทาง อ้างสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลในที่สาธารณะ
แต่งกลอนแล้วเก็บไว้อ่านคนเดียว จะแต่งให้ผิดฉันทลักษณ์ขนาดไหนก็เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่เมื่อใดก็ตามที่นำออกเผยแพร่ให้บุคคลที่สองที่สามได้รับรู้ เมื่อนั้นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลต้องมีกรอบขอบเขตทันที
ถ้าจะว่าไปแล้ว การแต่งกลอนเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในวัฒนธรรมเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมสมควรจะต้องคิดคำนึงถึงความดีความงามความเจริญจรุงใจ ซึ่งลำพังสิ่งที่เรียกกันคล่องปากว่า “กฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน” ไม่อาจอำนวยผลให้ได้เลย
เพราะฉะนั้น แน่ใจหรือว่า แนวคิดที่นิยมอ้างกันว่า “ไม่จำเป็นต้องทำอะไรซ้ำซากจำเจอยู่กับกฎเกณฑ์เก่าๆ” “ใครๆ เขาก็ทำกัน-ที่ไหนๆ เขาก็ทำอย่างนี้” และ “คนเราควรมีอิสรเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ-ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน” เหล่านี้แค่นี้ เป็นแนวคิดที่ถูกต้องและเพียงพอแล้วสำหรับการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม-ในฐานะเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ประเภทอื่นที่มันก็อยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้เหมือนมนุษย์เช่นกัน?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔
๑๓:๓๔