บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ก่อนที่จะไม่เหลือพระพุทธศาสนา

ก่อนที่จะไม่เหลือพระพุทธศาสนา

—————————-

ผมมีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับสถานการณ์ทางศาสนามาเสนอต่อญาติมิตร ขอได้โปรดสดับด้วยจิตใจที่มั่นคง มีสติ และใช้วิจารณญาณให้รอบคอบ

…………………….

สถานการณ์ต้นเรื่อง

…………………….

เบื้องต้น ขอให้รับรู้ทั่วกันว่า ศาสนาอิสลามมีนโยบายแน่วแน่ที่จะขยายอิทธิพลในประเทศไทยให้ครอบคลุมทุกพื้นที่จนถึงครอบครองประเทศไทยได้ทั้งหมดในอนาคต 

ความข้อนี้น่าจะมีคนสังเกตรู้กันมากขึ้นแล้วในตอนนี้

แนวทางที่ผู้นำศาสนาอิสลามในประเทศไทยใช้คือแนวทางกฎหมาย คือใช้กลไกทางรัฐสภาออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่อิสลามในลักษณะต่างๆ โดยอาศัยช่องว่างช่องโหว่ขนาดมหึมาในหมู่คนไทย นั่นคือความไม่สนใจรับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากผลประโยชน์ส่วนตัว 

ดังจะเห็นได้ว่า ถ้าถามว่าขณะนี้มีกฎหมายอะไรบ้างที่เอื้อประโยชน์และปูทางให้อำนาจแก่อิสลามที่ออกมาบังคับใช้แล้ว 

คนที่ถูกถามส่วนใหญ่จะตอบว่าไม่รู้ (ทั้งไม่สนใจที่จะรู้ด้วย)

ผลทางกฎหมายดังกล่าวที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ก็คือ รัฐบาลคือหน่วยราชการไทยจะต้องปฏิบัติการ (ตามกฎหมาย) เพื่ออำนวยประโยชน์ให้แก่อิสลามโดยใช้ทรัพยากรของคนไทยทั้งประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใช้ทรัพยากรของชาวพุทธนั่นเองเอื้ออำนวยประโยชน์ให้อิสลามโดยที่คนพุทธไม่รู้สึกตัว

อุปมาเหมือนเสือล้มช้าง

เสืออกกล่าเหยื่อ เจอช้างก็ใช้ความว่องไวปราดเปรียวโดดขึ้นกัดติดตระพองช้าง เปิดแผลบนตระพองช้างให้เลือดไหล ช้างวิ่งเตลิดกลับไปทางถิ่นเสือโดยมีเสือเกาะตระพองไป ช้างพาเสือกลับถิ่นโดยเสือไม่ต้องเดินให้เหนื่อย ถึงถิ่นเสือช้างก็หมดแรงล้ม เป็นเหยื่อให้ฝูงเสือได้กินเนื้อช้างกันอย่างสบายต่อไป

สมัยก่อน ชาติที่มีกำลังส่งกำลังไปยึดบ้านเมืองชาติที่อ่อนแอกว่า ในยุคล่าอาณานิคม ใกล้ๆ บ้านเรานี่เอง อังกฤษยึดอินเดีย ยึดพม่า ฝรั่งเศสยึดเขมร ลาว ญวน

สมัยนี้ไม่ต้องใช้กำลัง แต่ส่งผู้คนเข้าไปอยู่อย่างสันติในนามศาสนา แล้วค่อยๆ รุกคืบอย่างสงบโดยอาศัยนโยบายเข้ากุมกลไกของประเทศและกาลเวลาเข้าช่วย ก็จะสามารถยึดบ้านเมืองนั้นๆ ได้เช่นเดียวกัน

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า กลุ่มผู้นำศาสนาอิสลามเป็นกลุ่มสำคัญที่คัดค้านไม่ให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะการบัญญัติเช่นนั้นย่อมเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการขยายอิทธิพลเพื่อยึดครองประเทศไทย การคัดค้านนั้นไม่ได้กระทำอย่างออกหน้าโจ่งแจ้งเพราะถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจนซึ่งไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายอิสลามเอง แต่ใช้วิธีเข้ากุมความคิดหรือชี้นำผู้มีอำนาจ วิธีนี้สงบเงียบแต่ได้ผลชะงัดกว่า

และขอให้สังเกตด้วยว่า ยุทธวิธีของอิสลามคือเงียบ แต่ทำงานไม่หยุด เพราะยิ่งเงียบเท่าไรยิ่งเป็นต่อเท่านั้น ข้อดีของความเงียบก็คือจะไม่มีใครรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งไม่มีใครรู้ว่าอิสลามกำลังทำอะไรก็ยิ่งเป็นผลดีต่ออิสลาม 

และในท่ามกลางความเงียบนี่เองเชื่อได้ว่าอีกไม่นานเราจะได้เห็นมัสยิดโผล่สะพรั่งขึ้นเต็มแผ่นดินพุทธอย่างน่าอัศจรรย์

เป้าหมายสำคัญยิ่งเป้าหนึ่งของอิสลามในประเทศไทยที่ผมยังไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงเลยก็คือ รัฐธรรมนูญมาตราที่ว่า-พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ

โปรดทราบทั่วกันว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับตั้งแต่ที่เคยมีมาจะต้องมีมาตราหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ”

ทำไมต้องเขียนอย่างนี้ ใครรู้บ้าง

เพราะผู้ร่างรัฐธรรมนูญในอดีตตระหนักรู้ได้เต็มหัวใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นผู้นำในการสร้างชาติไทยนับถือพระพุทธศาสนา และพระพุทธศาสนาเป็นหัวใจของสังคมไทย เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์ของคนไทยจึงต้องเป็นพุทธมามกะคือต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้น 

พูดให้เป็นภาพก็ว่า พระมหากษัตริย์กับคนไทยคือคนคนเดียวกัน-คือคนพุทธ

ในอดีตและแม้ในปัจจุบันศาสนาอิสลามก็มีบทบาทเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เกี่ยวข้องในฐานะเป็น “ส่วนประกอบ” ก็เหมือนศาสนาพราหมณ์ที่มีอยู่ในราชสำนักมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็มีอยู่ในฐานะส่วนประกอบบางส่วนบางเรื่อง ไม่ใช่เป็นส่วนนำหรือส่วนหลักของสังคมไทย

แต่ในอนาคต เมื่อศาสนาอิสลามตั้งเป้าหมายที่จะทำให้อิสลามแผ่กระจายครอบคลุมทั่วประเทศไทย เมื่อถึงเวลาที่คนในแผ่นดินไทยไม่ใช่คนพุทธเป็นส่วนใหญ่ดังที่เคยเป็นมา เมื่อนั้นการที่ยังจะกำหนดให้พระมหากษัตริย์กับคนไทยคือคนคนเดียวกัน-คือคนพุทธ ก็จะเป็นการไม่สมเหตุสมผลขึ้นมาทันที

เพราะฉะนั้น ขอให้จับตาดูกันให้ดี ในอนาคตรัฐธรรมนูญมาตรานี้คือเป้าหมายที่จะต้องถูกตัดออกไปอย่างแน่นอน นั่นก็หมายถึงว่า ในอนาคตพระมหากษัตริย์ไทยอาจไม่จำเป็นจะต้องเป็นพุทธมามกะอีกต่อไป

พระพุทธศาสนานั้น ถ้าใครศึกษาประวัติก็จะพบความจริงว่า จะเข้าไปเผยแผ่และดำรงอยู่ในดินแดนใดๆ ได้ ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือผู้ปกครองดินแดนนั้นจะต้องนับถือเลื่อมใสด้วย หรืออย่างน้อยที่สุดถ้าไม่นับถือก็ต้องไม่กีดกันกลั่นแกล้ง (ซึ่งก็เป็นไปได้ยากมากๆ)

ในชมพูทวีปสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธศาสนารุ่งเรืองถึงที่สุดเพราะพระเจ้าอโศกมหาราชทรงนับถือเลื่อมใส ถึงกับนำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาออกมาใช้เป็นแนวนโยบายในการปกครอง

แต่พอสิ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์องค์ต่อมาที่มิได้ทรงนับถือพระพุทธศาสนาก็ทำให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปจากแดนดินอินเดีย เหลือเพียงเป็นของที่ระลึกในประวัติศาสตร์ของอินเดียดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในทุกวันนี้ (กิจการพระพุทธศาสนาที่เราเห็นว่ามีอยู่ในอินเดียทุกวันนี้ล้วนเป็นของ “นำเข้า” จากภายนอก มิใช่ว่าประชาชนอินเดียชวนกันฟื้นฟูขึ้นเองเลย)

ในประเทศไทยของเรานี้ก็จะต้องเป็นเช่นนั้น ถ้าพระมหากษัตริย์มิได้ทรงเป็นพุทธมามกะ หรือถ้าผู้นำการบริหารบ้านเมืองมิได้เป็นชาวพุทธ พระพุทธศาสนาก็มีหวังว่าจะต้องถูกกีดกันและกำจัดออกไปจากสังคมไทยอย่างแน่นอน

—————

ในท่ามกลางแห่งความเป็นไปดังกล่าวข้างต้น ปรากฏให้เห็นแล้วว่า คณะสงฆ์ไทยไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางนโยบาย กำหนดท่าที หรือกำหนดแนวปฏิบัติของฝ่ายชาวพุทธเพื่อรับมือกับปัญหา 

ไม่ปรากฏว่าคณะสงฆ์ได้ทำอะไรในเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นโดยเปิดเผย หรือโดยสงบเงียบ

อันที่จริงคณะสงฆ์ไม่ได้แสดงท่าทีว่าได้รับรู้ถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำไป

และอันที่จริงก็ควรจะต้องกล่าวด้วยว่า-แม้แต่ชาวพุทธไทยทั่วไปก็ไม่ได้แสดงท่าทีรู้ร้อนรู้หนาวในเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำไป

—————

และในท่ามกลางแห่งความเป็นไปเช่นนี้นั่นเอง ได้เกิดมีผู้ยกเอาสำนักธรรมกายขึ้นมาเป็นผู้นำในการต่อต้านอิสลาม

เหตุผลในการยกเอาสำนักธรรมกายขึ้นมาเป็นผู้นำในการต่อต้านอิสลามก็คือ ในเมืองไทยนี้ องค์กรบริหารคณะสงฆ์คือมหาเถรสมาคมก็ดี กลไกการปกครองสงฆ์ คือเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกระดับชั้นก็ดี ตลอดจนหน่วยราชการที่ขับเคลื่อนกิจการพระพุทธศาสนาคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี รวมถึงกรมการศาสนา หรือจะรวมไปถึงกระทรวงวัฒนธรรมทั้งกระทรวง หรือเอาให้หนักขึ้นจนถึงรัฐบาลไทยทั้งรัฐบาลก็ดี –

เหล่านี้ ไม่มีน้ำยาอะไรทั้งสิ้นที่จะรับมือกับปัญหาศาสนาอิสลาม 

บางส่วนกลายเป็นเครื่องมือของอิสลามด้วยซ้ำไป

มีแต่สำนักธรรมกายเท่านั้นที่สามารถจะต่อกร-ต่อต้านการขยายตัวขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลามได้

—————

ขณะเดียวกัน ขอได้โปรดสังเกตว่า การกระทำที่เรียกรวมๆ ว่า “ต่อต้านธรรมกาย” หรือตีธรรมกาย จะถูกเหมารวมให้เป็นภาพ-“ชาวพุทธถูกยุยงให้ทะเลาะกัน”

โดยไม่แยกแยะให้ชัดเจนว่าใครคัดค้านธรรมกายเรื่องอะไร คัดค้านในประเด็นไหน 

แต่ไม่ว่าใคร ถ้าพูดถึงธรรมกายในทางไม่ดี จะถูกประทับตราทันทีว่า-เป็นพวกชาวพุทธที่ถูกปั่นหัวให้ทะเลาะกัน

ถอดเป็นคำพูดก็เหมือนกับพูดว่า-เห็นไหม เขายุให้เราทะเลาะกัน นี่ไง มัวแต่ทะเลาะกันอยู่นี่ไง อิสลามจะมายึดพุทธแล้วยังไม่รู้สึกตัว เห็นไหม มัวแต่มาตีธรรมกายอยู่นี่แหละ เข้าแผนของเขาแล้ว

—————

ที่ว่ามาข้างต้นคือสถานการณ์ต้นเรื่อง

เมื่อทราบสถานการณ์ต้นเรื่องแล้ว บัดนี้ผมขอเชิญชวนให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ

………….

๑ เรื่องแผนอิสลาม เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย เวลานี้มีคนรู้กันมากแล้ว ปัญหามีอยู่เพียงว่า จะรับมือกันอย่างไร ใครควรจะทำอะไร และมีใครได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว

เท่าที่ผมทราบ เรื่องนี้มีคนกำลังทำงานกันอยู่แล้ว 

คนที่ทำงานเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟังเอง 

แต่ก็อย่างที่รู้กัน-คนมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่ทำ 

คนทำไม่มีหน้าที่โดยตรง

บางคนประกาศอย่างดุเดือด

“คนมีตำแหน่ง มีหน้าที่ แต่ไม่ทำหน้าที่ เราจะอาฆาตมันไปจนตาย”

เจ็บปวดอย่างยิ่งสำหรับสังคมศาสนาบ้านเรา

………….

๒ ทำไมจึงยกเอาภัยจากศาสนาอิสลามมาอ้างพ่วงเข้ากับกรณีธรรมกาย ?

ความจริงแล้ว สองกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันเลย

ถ้าห่วงภัยจากอิสลาม ก็ควรบอกกล่าวข่าวสารให้รับรู้กันได้ตลอดเวลา ควรบอกมาตั้งนานแล้วด้วย และควรบอกต่อไปอีกเรื่อยๆ 

ไม่ใช่หยิบขึ้นมาบอกเฉพาะตอนนี้แค่นี้

เท่าที่ปรากฏ-ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัย-ยังไม่เคยมีคนใส่เสื้อธรรมกายออกมาต่อต้านอิสลามให้เป็นที่ปรากฏเลย

การหยิบเอาภัยอิสลามขึ้นมาบอกตอนนี้ทำให้ถูกมองไปได้ว่า-ที่แท้แล้วก็มีเจตนาเพียงเพื่อจะเอามาคานกับปัญหาที่ธรรมกายกำลังถูก “เล่นงาน” เท่านั้นเอง คือที่จริงแล้วบอกเพราะห่วงตัวเอง ไม่ใช่บอกเพราะห่วงภัยจากอิสลามอย่างจริงจัง

คือเพราะภัยกำลังจะมาถึงตัว จึงยกเอาภัยจากอิสลามขึ้นมาคานไว้

………….

๓ การหยิบเอากรณีธรรมกายขึ้นมากล่าวขานและปฏิบัติการอยู่ในเวลานี้ ทำไมจึงถูกมองว่าเป็นการทะเลาะกัน หรือชาวพุทธถูกยุยงให้ทะเลาะกัน ?

ความจริงแล้ว ปัญหาของธรรมกายเกิดจากการปฏิบัติตัวของธรรมกายเองแท้ๆ ไม่ได้มีใครไปเสกสรรกลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสีแต่ประการใดเลย เช่น การบริหารงานเชิงธุรกิจ การสะสมความมั่งคั่ง ธุรกิจขายบุญในรูปแบบต่างๆ คำสอนที่ขัดแย้งหรือสวนทางกับพระไตรปิฎก การปฏิบัติตัวของท่านเจ้าสำนัก ปัญหาคดีความเกี่ยวกับทรัพย์สิน ฯลฯ

ปัญหาเหล่านี้ เมื่อสังคมสงสัย ย่อมเป็นหน้าที่ของธรรมกายโดยตรงที่จะทำความเข้าใจกับสังคมและทำความจริงให้ปรากฏ

อันที่จริงควรกล่าวว่า เป็นโอกาสที่ธรรมกายจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในทุกๆ ด้าน

อย่างกรณีคดีความ ต้องถือว่าเป็นโอกาสพิเศษที่ธรรมกายจะประกาศความบริสุทธิ์ของตนให้โลกรู้ได้อย่างขาวสะอาด

แต่น่าเสียดาย ธรรมกายกลับใช้วิธีหลีกเลี่ยง เบี่ยงบ่าย ขัดขืน หลบหลีก ไม่เผชิญหน้ากับความจริง

การยกป้าย “ขอความเป็นธรรมให้หลวงพ่อ” “เราเชื่อในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อ” ไม่ใช่วิธีที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้แต่อย่างใดเลย

………..

ผมนึกถึงกรณีพระภิกษุรูปหนึ่งที่ผมรู้จัก ท่านถูกกล่าวหาว่ามีบุตรกับสตรีนางหนึ่ง ฝ่ายกล่าวหาขอท้าพิสูจน์ให้ตรวจ DNA 

ฝ่ายภิกษุไม่ยอมให้ตรวจโดยอ้างว่าท่านไม่เชื่อถือทฤษฎี DNA 

คนเป็นพ่อลูกกัน DNA อาจบอกว่าไม่ได้เป็นก็ได้ 

คนไม่ได้เป็นพ่อลูกกัน DNA อาจบอกว่าเป็นก็ได้ 

ท่านว่าอย่างนั้น

ถ้าตรวจ DNA ป่านนี้ท่านก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านไปได้เรียบร้อยแล้ว

น่าเสียดาย ที่ท่านปล่อยให้สังคมอึมครึมอยู่มาจนทุกวันนี้

………..

น่าเสียดายที่ธรรมกายก็ใช้วิธีเดียวกันนี้

แต่ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งก็คือ โอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์และแสดงหลักความจริงให้สังคมได้รับรู้เช่นนี้ กลับถูกมองว่าเป็นเรื่องมุ่งร้ายหมายทำลายกัน-คือทำลายธรรมกาย กลับถูกมองไปว่าเป็นเรื่องที่ชาวพุทธถูกยุแหย่ให้ทะเลาะกัน

๔ เมื่อมีเสียงตำหนิติติงธรรมกาย วิธีที่ชาวธรรมกายชอบใช้ในการตอบก็คือ –

(ก) ยกเอาการกระทำอย่างเดียวกันของคนอื่น ที่อื่น ขึ้นมาอ้าง เพื่อให้เห็นว่ากรณีเช่นนั้นมีทำกันทั่วไป 

อย่างกรณีหลวงพ่อธัมมชโยสวมเสื้อ ก็อ้างว่า หลวงพ่อนั่นก็สวม หลวงปู่โน่นก็สวม ตลอดจนกรณีอย่างนั้นอย่างโน้นก็มีพระที่นั่นที่โน่นสวมเสื้อหรือแต่งกายแบบนั้นแบบโน้น เหมือนหลวงพ่อธัมมชโยหรือหนักกว่าด้วยซ้ำ

ยังไม่ได้กล่าวถึงว่า-ถ้ามีผู้อ้างว่า หลวงพ่อนั่นหลวงปู่โน่นอาพาธเหมือนกับหลวงพ่อธัมมชโยนี่แหละหรือหนักกว่าด้วยซ้ำ แต่ท่านก็รักษาพระธรรมวินัยและจารีตการนุ่งห่มของพระสงฆ์ไทยไว้ได้อย่างเคร่งครัด

ถ้ามีผู้อ้างอย่างนี้ ชาวธรรมกายจะว่าอย่างไร

จะเห็นได้ว่า ไปๆ มาๆ ก็ได้แต่ยกเรื่องขึ้นมาคานกันไปคานกันมา ยังไม่ได้พิจารณาตัวกรณีจริงๆ กันเลยว่าโดยหลักการหรือหลักพระธรรมวินัย การกระทำตามที่มีข้อสงสัยเช่นนั้นถูกหรือผิดประการใด

(ข) ขอให้ตำหนิติติงท่านผู้นั้นผู้โน้นด้วย อย่าตำหนิแต่ธรรมกายฝ่ายเดียว

นี่ก็คือเอาความบกพร่องของผู้อื่นฝ่ายอื่นขึ้นมาคาน

เมื่อเอาความบกพร่องของท่านผู้อื่นขึ้นมาคานไว้เสียแล้ว ก็เป็นอันไม่ต้องพิจารณาว่ากรณีธรรมกายถูกหรือผิดประการใดอีกเช่นกัน

(ค) ยกเอาความดีของธรรมกายขึ้นมาคาน

ความดีของธรรมกายก็มีมาก เชื่อว่าทุกฝ่าย-แม้ฝ่ายที่ตำหนิติติงนั่นเอง-ก็ยอมรับ แต่พึงเข้าใจว่าหลักพระธรรมวินัยท่านไม่เอาความดีมาหักกลบลบความผิด

เช่น ภิกษุ x ละเมิดพระวินัยถึงขั้นอาบัติปาราชิก แต่เนื่องจาก ภิกษุ x ได้เคยทำความดีมามาก จึงลดโทษให้เหลือเพียงอาบัติปาจิตตีย์-อย่างนี้ไม่มีในหลักพระธรรมวินัย

พระวินัยในพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า “อริยวินัย” แปลว่าวินัยของอารยชนคือผู้เจริญแล้ว เอาความจริงความตรงของผู้กระทำเป็นหลัก

ภิกษุ x ฆ่าคนตาย ศาลตัดสินให้พ้นผิดเพราะไม่มีพยานหลักฐาน ภิกษุ x เป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมาย แต่ตามอริยวินัย ภิกษุ x ขาดจากความเป็นภิกษุไปแล้วตั้งแต่กระทำสำเร็จ

ถ้าชาวธรรมกายเข้าใจหลักพระธรรมวินัยดังกล่าวนี้ ก็ย่อมสามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่าการยกเอาความดีของธรรมกายขึ้นมาคานนั้นชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม แค่ไหนเพียงไร

—————

ผมขอตั้งประเด็นให้ช่วยกันคิดว่า –

๑ ที่มีความเชื่อว่า ในเมืองไทยนี้มีแต่ธรรมกายเท่านั้นที่จะต้านกระแสอิทธิพลอิสลามที่กำลังรุกคืบอย่างรวดเร็วและซึมลึกอยู่ในขณะนี้ได้-เป็นความจริงหรือ

๒ เมื่อพูดถึงพระพุทธศาสนา ต้องหมายถึงพระธรรมวินัยที่ถูกต้องเสมอไป เพราะพระธรรมวินัยที่ถูกต้องกับพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งเดียวกัน

มีพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งที่เรานิยมอ้างกันอยู่เสมอๆ ว่า –

จเช  ธนํ  องฺควรสฺส  เหตุ

องฺคํ  จเช  ชีวิตํ  รกฺขมาโน

องฺคํ  ธนํ  ชีวิตญฺจาปิ  สพฺพํ

จเช  นโร  ธมฺมมนุสฺสรนฺโต.

พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ

พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

พึงสละทุกอย่าง คือทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต

เพื่อรักษาธรรม

………

หมายความว่า สิ่งที่เราควรสละชีวิตเพื่อรักษาไว้นั้น ต้องคือ- “ธรรม”

จะเป็นอย่างไรถ้าปรากฏว่า สิ่งเราอุตส่าห์สละทุกอย่าง ทั้งทรัพย์ อวัยวะ และแม้แต่ชีวิตเพื่อรักษาไว้นั้น ลงท้ายแล้วเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ธรรม-คือไม่ใช่พระธรรมวินัยที่ถูกต้อง

๓ ในเมืองไทยของเรานี้ มีใครหรือองค์กรไหนที่จะสามารถทำหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ในแผ่นดินไทยอย่างมั่นคงได้ตลอดไป ช่วยกันคิดด้วยว่าควรทำอย่างนี้ๆ แล้วก็ถ้าไม่ใช่แค่คิดอย่างเดียว แต่ลงมือทำด้วย-ก็จะเป็นการดีมาก

ถ้ารักพระพุทธศาสนา 

ก็โปรดช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา

ก่อนที่จะไม่เหลือพระพุทธศาสนาไว้ให้รักษา

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๖ มิถุนายน ๒๕๕๙

๑๐:๔๓

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *