วิธีทำบุญ (ต้นฉบับ)
บทความรายการธรรมธารา
เรื่อง “วิธีทำบุญ”
ของ กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๒
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย บรรยาย
————————-
สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังที่เคารพ
เมื่อปลายปี ๒๕๔๑ มีข่าวกระทบความรู้สึกของชาวพุทธในเมืองไทยอยู่เรื่องหนึ่ง ข่าวนั้นนำไปสู่คำถามว่า ทำบุญด้วยทรัพย์สินเงินทองมาก ๆ ย่อมได้บุญมาก จริงหรือ และวิธีทำบุญนั้นต้องบริจาคเงินจำนวนมาก ๆ เท่านั้นหรือจึงจะเป็นบุญ ไม่มีวิธีทำบุญแบบอื่นอีกหรือ ? รายการธรรมธาราวันนี้จึงจะขอถือโอกาสตอบคำถามดังกล่าวนี้เท่าที่เวลาจะอำนวย คำถามที่ว่า ทำบุญด้วยทรัพย์สินเงินทองมาก ๆ ย่อมได้บุญมาก จริงหรือ ข้อนี้ต้องเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อนว่า คำว่าบุญในคำที่ว่า “ได้บุญ” นี้ หมายถึงประโยชน์และความสุข หมายความว่า ผู้ทำก็ได้ความสุข ผู้รับก็ได้ประโยชน์ ถ้าผู้รับประโยชน์จากบุญนั้นมีมาก ก็เป็นบุญมาก ถ้าได้ประโยชน์น้อยคน บุญก็น้อย ตัวอย่างเช่น ถวายรถยนต์ให้พระภิกษุ ก ไว้ใช้ส่วนตัว ก็ได้ประโยชน์น้อยหน่อย แต่ถ้าถวายรถยนต์ให้วัดไว้ใช้รับส่งพระภิกษุสามเณรทั้งวัด ก็ได้ประโยชน์มาก ย่อมจะได้บุญมาก หรือสร้างพระพุทธรูปถวายวัดที่มีพระพุทธรูปบริบูรณ์อยู่แล้ว ก็ได้ประโยชน์น้อย ถ้าสร้างถวายวัดที่ยังขาดพระพุทธรูปอยู่ ก็ได้ประโยชน์มาก นี่มองในแง่เป็นประโยชน์ ส่วนในแง่ความสุขของผู้ทำหรือผู้ให้นั้น ท่านว่าจะได้บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเจตนา หรือความตั้งใจ เต็มใจ ซึ่งมีอยู่ ๓ ระยะ คือ ก่อนทำ เรียกว่า บุพเจตนา ขณะทำ เรียกว่า มุญจนเจตนา และ หลังทำ เรียกว่า อปรเจตนา ถ้าเจตนาทั้ง ๓ ระยะนี้มีอยู่เต็มที่เต็มเปี่ยม ผ่องใสตลอดเวลา แม้ไทยธรรมคือทรัพย์สิ่งของที่บริจาคจะมีจำนวนเล็กน้อย แต่ก็ย่อมได้อานิสงส์มาก ตรงกันข้าม แม้บริจาคมาก แต่ถ้าเจตนาทั้ง ๓ ระยะไม่ผ่องใส บุญทานนั้นก็ไม่มีผลมาก นี่เป็นคำตอบเรื่องได้บุญมากหรือได้บุญน้อย อนึ่ง ขอย้ำว่า ที่ว่าได้บุญนั้นคือผู้ให้หรือผู้ทำบุญได้ความสุข ผู้รับได้ประโยชน์ นี่คือได้บุญ มิใช่หมายถึงว่า ทำบุญแล้วถูกหวย ทำบุญแล้วคลาดแคล้วจากอุบัติเหตุ ทำบุญแล้วหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ผลดังกล่าวนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการทำบุญให้ทานโดยตรง แต่เป็นเหตุโดยอ้อม หรือเป็นเพียงผลพลอยได้ ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ ที่ต้องย้ำเพราะมักจะมีคนทำบุญจำพวกหนึ่งคร่ำครวญเสมอว่า ทำบุญตั้งมากมายทำไมไม่ถูกหวยสักที ทำบุญแล้วไม่เห็นรวยสักที ทำบุญแล้วทำไมยังประสบความเดือดร้อนอยู่อีก ซึ่งการคร่ำครวญเช่นนี้เกิดจากความไม่เข้าใจเรื่องผลบุญหรือเรียกร้องเอาผลบุญแบบไม่สมเหตุสมผลนั่นเอง
ส่วนคำถามที่ว่า ต้องบริจาคทรัพย์สินเงินทองเป็นจำนวนมาก ๆ เท่านั้นหรือจึงเป็นบุญ ไม่มีวิธีทำบุญแบบอื่นอีกหรือ ก็ขอตอบว่า วิธีทำบุญมีหลายวิธี ว่าตามหลักในพระพุทธศาสนาแล้ว วิธีทำบุญซึ่งท่านเรียกเป็นคำศัพท์ว่า บุญกิริยาวัตถุ นั้น มีถึง ๑๐ วิธี คือ ๑ ทาน ๒ ศีล ๓ ภาวนา ๔ อปจายนะ ๕ เวยยาวัจจะ ๖ ปัตติทาน ๗ ปัตตานุโมทนา ๘ ธัมมัสสวนะ ๙ ธัมมเทสนา และ ๑๐ ทิฏฐุชุกรรม
ดูตามรายการวิธีทำบุญทั้ง ๑๐ วิธีนี้แล้ว จะเห็นว่า การบริจาคทรัพย์สินเงินทองของกินของใช้ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นเพียง ๑ ใน ๑๐ วิธีของการทำบุญเท่านั้น คือเป็นวิธีทำบุญที่ท่านเรียกว่า ทาน ซึ่งแปลว่าการให้
วิธีทำบุญวิธีที่ ๑ คือ ทาน นี้เป็นที่นิยมกันมาก คงเป็นเพราะทำได้ค่อนข้างสะดวก คือเพียงแค่มีของที่จะให้ และมีเจตนาคิดจะให้ เท่านี้ก็พอแล้ว บุญที่ทำด้วยวิธีนี้เรียกว่า ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ ของที่จะให้นั้นก็สรุปลงในจำพวกของกินกับของใช้ ซึ่งเป็นของที่ต้องมีอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ต้องการเพียงแค่เจตนาคือความคิดที่จะแบ่งออกให้แก่ผู้อื่นบ้างเท่านั้น เมื่อมีเจตนาหรือความคิดอยากจะให้ การทำบุญด้วยวิธีบริจาคทานก็สามารถทำได้แล้ว เพราะผู้รับนั้นมีทั่วไปอยู่แล้ว หาไม่ยาก อาจเป็นเพราะความสะดวกเช่นนี้ คนจึงนิยมทำบุญโดยวิธีบริจาคทานกันมาก จนกระทั่งเมื่อเอ่ยถึงคำว่าทำบุญ เรามักจะนึกถึงการตักบาตร การถวายภัตตาหาร หรือการบริจาคเงิน การชักชวนเชิญชวนให้บริจาคทรัพย์สินเงินทองก็เป็นวิธีการที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในเมื่อจะบอกให้คนทำบุญ จนดูเป็นว่าการทำบุญมีวิธีเดียวคือบริจาคเงิน สรุปว่า คนทำบุญก็เข้าใจแต่เพียงว่าจะทำบุญก็ต้องบริจาคทรัพย์สินเงินทอง คนชักชวนก็มุ่งแต่จะชวนให้บริจาค ตกลงว่านิยมบุญกันอยู่วิธีเดียว คือทาน หรือบริจาคทรัพย์สินเงินทอง ผู้ให้ก็สุขใจว่าตนได้ทำบุญ ผู้รับก็ได้ประโยชน์ นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในหมู่คนไทยชาวพุทธทุกวันนี้
วิธีทำบุญวิธีที่ ๒ คือ ศีล การควบคุมพฤติกรรมทางกายและวาจาให้อยู่ในสภาพปกติเรียบร้อย การถือศีลหรือรักษาศีลเป็นวิธีทำบุญอีกวิธีหนึ่งที่ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทอง ใช้เพียงการตั้งเจตนาที่จะงดเว้นการกระทำ คำพูด ที่ผิดที่ชั่วหยาบ จะเป็นการงดเว้น ๕ ประการ ที่เรียกว่าศีลห้า หรืองดเว้น ๘ ประการ ๑๐ ประการ ตามประเภทของศีลนั้น ๆ ก็แล้วแต่ เมื่อตั้งเจตนางดเว้นแล้วประพฤติตามที่ตั้งนั้นได้โดยตลอดเรียบร้อย ก็ถือว่าได้ทำบุญแล้ว เรียกบุญชนิดนี้ว่า ศีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
วิธีทำบุญวิธีที่ ๓ คือ ภาวนา การฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ ให้เจริญงอกงามด้วยคุณธรรม มีความเข้มแข็ง มั่นคง เบิกบาน สงบสุข ผ่องใส พร้อมด้วยความเพียร สติ และสมาธิ และ การฝึกอบรมเจริญปัญญาให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนมีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์ หมั่นทำหมั่นอบรมบ่มจิตใจและปัญญาอยู่เช่นนี้ ก็ถือว่าได้ทำบุญแล้ว เรียกบุญชนิดนี้ว่า ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยภาวนา การอบรมบ่มจิตใจ นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
วิธีทำบุญวิธีที่ ๔ คือ อปจายนะ การประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน ที่เราพูดกันว่ารู้จักที่สูงที่ต่ำ รู้ว่าผู้มีชาติวุฒิ วัยวุฒิ และคุณวุฒิ สูงกว่าตน ควรปฏิบัติต่อท่านอย่างไร คนเสมอกันและคนต่ำกว่า ควรปฏิบัติอย่างไร ไม่เป็นคนกระด้าง ก้าวร้าว เย่อหยิ่ง ถือตัว การอ่อนน้อมถ่อมตนนี้ต้องพร้อมทั้งไตรทวาร คือพร้อมทั้งการกระทำ คำพูด และความคิดจิตใจ มิใช่ทำเป็นลิงหลอกเจ้า หรือปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ หรือปากหวานก้นเปรี้ยว ทำได้อย่างนี้ก็เป็นการทำบุญเช่นกัน เรียกบุญชนิดนี้ว่า อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
วิธีทำบุญวิธีที่ ๕ คือ เวยยาวัจจะ การช่วยขวนขวายในกิจที่สมควร คือการช่วยเหลือรับใช้ผู้อื่น หรือการทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม การไม่นิ่งดูดายในเมื่อเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แม้แต่ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เห็นเศษไม้ ก้อนหิน อยู่กีดขวางทางเดิน ช่วยเก็บออกไปให้พ้น เห็นน้ำประปา ไฟฟ้าสาธารณะ ถูกเปิดทิ้งไว้โดยไร้ประโยชน์ ช่วยปิดให้เรียบร้อย ทำอย่างนี้ก็เป็นบุญ เรียกบุญชนิดนี้ว่า เวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายในกิจที่เป็นประโยชน์ แต่บุญแบบนี้ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง คือทำเพราะมุ่งประโยชน์ต่อผู้อื่น มิใช่ทำเพราะหวังชื่อเสียง หวังเป็นข่าว หวังได้ออกโทรทัศน์ จึงจะเป็นบุญบริสุทธิ์ นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
วิธีทำบุญวิธีที่ ๖ คือ ปัตติทาน การให้ส่วนบุญ หรือการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น การทำบุญด้วยวิธีนี้ก็คือ เมื่อเราได้ทำบุญคือทำความดีอย่างใด ๆ ก็ตาม ก็นำเอาเรื่องการทำดีนั้นไปบอกกล่าวแก่ผู้อื่นเพื่อให้เขาชื่นชมยินดีด้วย การบอกกล่าวนั้นก็บอกกล่าวอย่างเป็นกลาง ๆ มิใช่บอกเพื่อจะอวดอ้างคุณความดีของตัวเอง ตัวอย่างที่คนไทยนิยมปฏิบัติกันมาก็เช่น ไปทำบุญที่วัดในวันพระ ขากลับเดินผ่านบ้านคนที่รู้จักกัน ก็ร้องบอกเข้าไปว่า “ฉันไปทำบุญม ขอแบ่งส่วนบุญให้ด้วยนะ” เท่านี้ก็เป็นอันสำเร็จ คนในบ้านก็จะร้องตอบออกมาว่า จ้ะ อนุโมทนาด้วยจ้ะ บุญที่เกิดจากการให้ส่วนบุญเช่นนี้ เรียกว่า ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ การแบ่งส่วนบุญเช่นนี้ยังมีผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งคือ เป็นการจูงใจให้ผู้อื่นอยากจะทำความดีเช่นนั้นหรือทำความดีอื่น ๆ อีกด้วย ยังมีการให้ส่วนบุญอีกแบบหนึ่ง คือการอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่นิยมเรียกกันว่า กรวดน้ำ การกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญก็เป็นปัตติทานมัยเช่นกัน ผู้ที่ทำบุญด้วยวิธีที่เรียกว่าปัตติทานนี้ ชื่อว่าได้บุญ ๒ ชั้น คือ ได้ทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่งมาแล้วชั้นหนึ่ง และได้ให้ส่วนบุญนั้นแก่ผู้อื่นอีกชั้นหนึ่ง นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
วิธีทำบุญวิธีที่ ๗ คือ ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาส่วนบุญ หรือทำบุญด้วยการยินดีในการทำดีของผู้อื่น กล่าวคือ เมื่อได้ยิน ได้รู้ ได้เห็น ว่าใครเขาทำบุญหรือทำความดีด้วยประการใด ๆ ก็ตาม ก็แสดงกิริยาวาจาพลอยยินดีกับการทำบุญนั้นด้วย มีคำที่นิยมพูดกันว่า “ยกมือท่วมหัว” เป็นคำพูดที่มองเห็นภาพการพลอยอนุโมทนา และอาจจะได้ยินเสียง “สาธุ” ประกอบกันไปด้วย นั่นคือกิริยาวาจาพลอยยินดีกับการทำดีของผู้อื่น บุญที่ทำด้วยวิธีเช่นนี้ เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ การทำบุญวิธีนี้จะว่าง่ายก็ง่ายมาก ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอะไรเลย เพียงแค่ทำใจให้พลอยยินดีด้วยก็สำเร็จเป็นบุญแล้ว แต่จะว่ายาก ก็ยากมาก เพราะใจคนมักจะมีความริษยาอยู่ลึก ๆ เห็นใครได้ดี เห็นใครทำดีแล้วไม่ค่อยอยากจะยินดีด้วย คนที่จะทำบุญด้วยวิธีนี้ได้จะต้องเอาชนะกิเลสในใจตัวเองให้ได้เสียก่อน หาไม่แล้ว เรื่องง่าย ๆ นี่แหละก็ทำยากนักหนา นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
วิธีทำบุญวิธีที่ ๘ คือ ธัมมัสสวนะ การฟังธรรม พอพูดว่าฟังธรรม เราก็จะนึกถึงการฟังพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา ตามรูปแบบธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา มีพระสงฆ์ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ มีการอาราธนาธรรม แล้วพระสงฆ์ก็แสดงธรรม จบแล้วก็อนุโมทนายถาสัพพี แต่โดยเนื้อหาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือผู้ใดผู้หนึ่งผู้รู้ธรรม จะแสดงธรรมด้วยวิธีการใด ๆ คือจะขึ้นธรรมาสน์เทศน์ หรือแสดงปาฐกถา หรือแม้แต่พูดอธิบายธรรมะให้เราฟังในโอกาสใด ๆ ก็ตาม ก็จัดว่าเป็นธัมมัสสวนะทั้งนั้น และยังกินความรวมไปถึงการตั้งใจฟังคำแนะนำสั่งสอนของผู้รู้ผู้ปรารถนาดี หรือแม้แต่การรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ติชม รับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากคนอื่น ก็เข้าข่ายธัมมัสสวนะทั้งสิ้น บุญที่ทำด้วยวิธีการเช่นนี้เรียกว่า ธัมมัสสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังธรรมคำสั่งสอน จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่การฟังมาก ถึงกับจัดเป็นบุญชนิดหนึ่ง เพราะการฟังเป็นทางมาแห่งความรู้ ผู้ทรงความรู้ ท่านเรียกว่า พหูสูต ซึ่งก็แปลว่า ผู้ฟังมากนั่นเอง นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
วิธีทำบุญวิธีที่ ๙ คือ ธัมมเทสนา การแสดงธรรม การทำบุญวิธีนี้เป็นคู่กับการฟังธรรม เพราะจะมีการฟังธรรมได้ ก็ต้องมีผู้แสดงธรรม ถ้าไม่มีใครแสดงธรรม การฟังธรรมก็ไม่เกิด การแสดงธรรมจึงมีความสำคัญมาก นอกจากจะเป็นบุญในตัวเองแล้ว ยังเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้ทำบุญด้วยวิธีธัมมัสสวนะอีกด้วย การแสดงธรรมนั้นมีทั้งที่เป็นการแสดงตามแบบธรรมเนียม ที่เรียกกันว่าเทศน์ และการแสดงด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น ปาฐกถา อภิปราย การสอน การสนทนา รวมไปจนถึงการแนะนำสั่งสอน การแสดงข้อคิดเห็นต่าง ๆ การบอกแจ้งข้อมูลเรื่องราวต่าง ๆ แม้แต่กิจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การชี้บอกหนทางให้แก่คนที่ไม่รู้ เป็นต้น ก็รวมอยู่ในคำว่า ธัมมเทสนา ได้ทั้งสิ้น บุญที่ทำด้วยวิธีนี้ เรียกว่า ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงธรรม นี่ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
วิธีทำบุญวิธีที่ ๑๐ คือ ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ตรง หมายความว่า การแก้ไขปรับปรุงความคิดเห็นให้ถูกต้อง ข้อนี้อาจจะฟังยากอยู่สักหน่อยว่า การทำความเห็นให้ตรงนั้น เป็นบุญได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องเข้าใจแนวคิดพื้นฐานทางพระพุทธศาสนาก่อน คือพระพุทธศาสนามองว่า สภาวะในโลกนี้มี ๒ อย่าง คือ สมมุติสัจจะ สภาวะที่เป็นจริงตามสมมุติ คือตามที่ตกลงกัน สมมุติกันว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นนั่นเป็นนี่ นี่อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งคือ ปรมัตถสัจจะ สภาวะที่เป็นจริงตามที่มันเป็น แม้ใครจะสมมุติอย่างไร มันก็ไม่เป็นไปตามที่สมมุติ แต่จะคงเป็นตามที่มันเป็นอยู่เช่นนั้น ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่ง เกิดมาแล้ว สมมุติกันว่าชื่อนั้นชื่อนี้ โตขึ้นมีตำแหน่งเป็นนั่นเป็นนี่ มีอำนาจมีหน้าที่อย่างนั้นอย่างนี้ นี่เป็นสมมุติสัจจะ แต่โดยปรมัตถสัจจะแล้ว คนคนนั้นเป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ มาประชุมกัน มีวิญญาณเข้าครอง มีชีวิต เป็นโน่นเป็นนี่ตามเหตุปัจจัย เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัย ก็แยกสลายไป ไม่มีอะไรที่เป็นตัวจริงตัวแท้ของคนคนนั้น คนที่มีความเห็นไม่ตรง ก็จะเข้าไปยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา คือไปยึดเอาสมมุติว่าเป็นแก่นแท้แน่นอน แล้วก็หลงทำ หลงพูด หลงคิดไปต่าง ๆ เพื่อจะให้สิ่งนั้น ๆ เป็นเราเป็นของเราตลอดไป ทำให้เกิดปัญหา เกิดทุกข์แก่ตนเอง และก่อทุกข์โทษให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย นี่คือผลของการมีความเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริง ถ้ามีความเห็นถูกต้องตรงตามความเป็นจริงแล้ว เขาก็จะไม่หลงยึดมั่น ทำผิด พูดผิด คิดผิด แต่จะทำชีวิตซึ่งไม่มีสาระให้เป็นสาระ เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เพื่อนร่วมโลก แทนที่จะกอบโกยเพื่อตัวเอง ก็จะเอาออกเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น แทนที่จะทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะมีแต่ความเมตตาหวังให้คนอื่นเป็นสุข สังคมก็จะมีแต่ความสงบร่มเย็น นี่คืออานิสงส์ของการมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง อาจกล่าวได้ว่า ที่สังคมเกิดปัญหาสารพัด หาความสงบสุขไม่ได้อยู่ทุกวันนี้ ต้นตอก็เพราะคนมีความเห็นผิด ไม่มองชีวิตให้ถูกต้องตามความเป็นจริง หลงยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรานี่เอง การทำความเห็นให้ตรง คือแก้ไขปรับปรุงความคิดเห็นให้ถูกต้อง จึงถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง และเป็นบุญที่สำคัญที่สุดด้วย เพราะถ้าความคิดเห็นไม่ถูกต้องเสียแล้ว ความคิดที่จะทำบุญทำความดีอื่น ๆ ก็ไม่อาจจะเกิดมีขึ้นได้เลย ข้อนี้ก็เป็นบุญอีกชนิดหนึ่งที่สมควรทำ
เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธศาสนาก็สอนไว้อย่างชัดเจนว่าเราทำบุญได้ถึง ๑๐ วิธี ไม่ใช่เรื่องลี้ลับลึกซึ้งอะไรเลย แต่สำนักบอกบุญทั้งหลายในบ้านเมืองของเรามักนิยมเน้นบอกกล่าวชักชวนให้ทำบุญกันเฉพาะวิธีบริจาคทานเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้ง ๆ ที่เป็นวิธีที่ต้องเสียทรัพย์ ส่วนอีก ๙ วิธีนั้น แม้ไม่มีทรัพย์เลยก็ทำได้ แต่ก็ไม่ค่อยจะมีสำนักบอกบุญที่ไหนโฆษณาเชิญชวนกันให้เอิกเกริกเหมือนวิธีที่ต้องบริจาคทรัพย์ ที่กล่าวเช่นนี้มิใช่ว่าเราไม่ควรทำบุญด้วยวิธีบริจาคทานกันเลย ตรงกันข้าม เราควรทำบุญทุก ๆ วิธีจึงจะถูกต้อง หมายความว่า ทานก็บริจาค ศีลก็รักษา ภาวนาก็อบรม อ่อนน้อมถ่อมตนก็ต้องมี ประโยชน์ส่วนรวมก็บำเพ็ญ แผ่ความดีให้ผู้อื่นก็ทำชื่นชมยินดีความดีของผู้อื่นก็ได้ ใครแนะนำสั่งสอนก็ยินดีรับฟัง แนะนำสั่งสอนคนอื่นก็ทำเป็น ความคิดเห็นก็ปรับแก้ให้ถูกต้อง ทำบุญให้ครบถ้วนเช่นนี้จึงนับว่าดี และชักชวนกันให้ทำบุญให้ครบถ้วนเช่นนี้จึงจะนับว่าประเสริฐ ไม่ใช่ชักชวนกันอยู่เพียงวิธีเดียว แล้วก็ทำกันอยู่แต่เพียงวิธีเดียวดังเช่นที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นทางให้คนที่มีปัญญาแบบเฉโก คือคนหัวแหลม คิดหากำไรด้วยวิธีที่แนบเนียน คือ เอาบุญบังหน้า ชักจูงคนที่มีศรัทธาเป็นตัวนำ แต่ขาดปัญญา ให้ทำบุญด้วยวิธีบริจาคทานเป็นการใหญ่ เน้นหนักกันอยู่แต่เรื่องทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการควักกระเป๋า เปิดบัญชี ซึ่งทำไปเท่าไร ๆ ก็ไม่รู้จักพอ ขณะเดียวกันก็พากันละเลย หลงลืม มองข้าม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับวิธีทำบุญอีกตั้ง ๙ วิธี ซึ่งแม้ไม่มีเงินสักบาทเดียวก็ทำได้ ทั้งเป็นประโยชน์ เป็นความสุข และเป็นสิ่งที่สังคมก็ต้องการพอ ๆ กับการบริจาคทรัพย์สินเงินทองของกินของใช้ ซ้ำอาจจะต้องการมากกว่าด้วยซ้ำไป
ถ้าท่านผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ร่วมมือกับท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ช่วยกันสังคายนาการทำบุญในบ้านเรากันเสียใหม่ ก็จะเป็นมหากุศลยิ่งนัก แต่ในฐานะของชาวพุทธ เราแต่ละคนไม่ต้องรอใคร คือไม่ต้องรอจนกว่าคนที่มีหน้าที่กับคนที่มีอำนาจท่านลงมือแก้ไขจนเรียบร้อยเสียก่อน เพราะท่านจะแก้ไขเมื่อไร เราก็ทราบไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรอ แล้วก็ไม่ควรเอาแต่ตำหนิติเตียนบ่นว่าท่าเดียว แต่ควรลงมือทำบุญทั้ง ๑๐ วิธีด้วยตัวของเราเองเดี๋ยวนี้ทีเดียว โปรดอย่าลืมว่า บุญนั้นไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอาเอง และชีวิตของมนุษย์นั้นไม่ยาวพอที่จะมัวผัดวันประกันพรุ่ง เพราะพรุ่งนี้เราอาจไม่มีโอกาสทำบุญเสียแล้วก็ได้
รายการธรรมธาราวันนี้ขอยุติไว้ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้ฟังตลอดปี ๒๕๔๒ นี้ และตลอดไป
————–