จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๑)
จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๒)
จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๒)
————————
ดำเนินความตามจักกวัตติสูตร
เมื่อพระราชาพระองค์ที่ ๘ ได้ฟังคำกราบทูลของคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าให้ใช้หลักจักรวรรดิวัตรปกครองบ้านเมือง ก็ตรัสสอบถามถึงจักรวรรดิวัตร ผู้ที่จำทรงหลักจักรวรรดิวัตรไว้ได้ก็กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ พระราชาก็กลับมาใช้หลักจักรวรรดิวัตรปกครองบ้านเมืองเหมือนเมื่อครั้งก่อน
แต่ถึงดังนั้น ก็ทรงบกพร่องไปข้อหนึ่ง นั่นคือ –
…………………………………
โน จ โข อธนานํ ธนมนุปฺปทาสิ ฯ
ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่ผู้ไร้ทรัพย์
…………………………………
คงจำกันได้ว่า ในจักรวรรดิวัตร ๕ ข้อ หรือ ๑๒ ข้อนั้น มีข้อหนึ่งว่า –
…………………………………
เย จ เต ตาต วิชิเต อธนา
เตสญฺจ ธนํ อนุปฺปทชฺเชยฺยาสิ
ดูก่อนพ่อ อนึ่ง บุคคลเหล่าใดในแว่นแคว้นของพ่อไม่มีทรัพย์
พ่อพึงให้ทรัพย์แก่บุคคลเหล่านั้นด้วย
…………………………………
ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ผู้จัดทำพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชนถอดความว่า –
…………………………………
ผู้ใดไม่มีทรัพย์ก็มอบทรัพย์ให้ /
เพิ่มให้ทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์
…………………………………
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) นำมาแสดงไว้ว่า –
…………………………………
4. ธนานุประทาน (ปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ชนผู้ไร้ทรัพย์ มิให้มีคนขัดสนยากไร้ในแว่นแคว้น — Dhanānuppadāna: to let wealth be given or distributed to the poor)
…………………………………
คำว่า “โน จ โข อธนานํ ธนมนุปฺปทาสิ = ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่ผู้ไร้ทรัพย์” ถ้าถอดความให้ครอบคลุมก็น่าจะหมายรวมถึงบริหารจัดการเรื่องเศรษฐกิจล้มเหลว
เมื่อเศรษฐกิจพัง คนก็จนกันมากขึ้น
ทำอย่างไรจะรอดได้ ก็ทำกันทุกวิถีทาง
ในที่สุดก็เกิดพฤติกรรมที่ไม่เคยเกิดมาก่อน นั่นคือ อทินนาทาน การลักขโมยกัน
—————
ตรงนี้ทำให้นึกถึงวาทกรรมหรือคำคมของใครก็ไม่ทราบที่เคยพูดกันว่า
“ถ้าท้องหิว คนจะปฏิบัติธรรมอยู่ได้อย่างไร”
คือคนพูดต้องการจะแย้งว่า อย่าเอาแต่สอนธรรมะท่าเดียว ต้องคิดถึงปากท้องของประชาชนด้วย
เพียงแต่ว่าสมัยอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี กับสมัยอายุขัย ๑๐๐ ปี บริบทมันต่างกัน
สมัยโน้นผู้คนประพฤติธรรมกันทั้งแผ่นดิน ไม่มีความดีอะไรที่เมื่อรู้ว่าดีแล้วคนจะไม่ทำ
แต่สมัยนี้ อธรรมแพร่หลายไปทั่วแผ่นดิน ไม่มีความชั่วอะไรที่คนจะทำไม่ได้
คนสมัยโน้นแม้ท้องหิวก็ยังไม่ทิ้งธรรม
แต่คนสมัยนี้ต่อให้ท้องอิ่มก็ทำชั่วได้
พูดสั้นๆ สมัยนี้ แม้ท้องอิ่มก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะประพฤติธรรม
และในทางกลับกัน-แม้ท้องหิวก็ใช่ว่าจะต้องทำชั่วกันทุกคนไป
เพราะฉะนั้น เวลาจะแก้แทนให้ใครว่า เขาทำชั่วเพราะความหิว ก็ต้องดูบริบทให้ทั่วถึงด้วย
—————
สรุปว่า มนุษย์เริ่มทำชั่วอย่างแรก คืออทินนาทาน-การขโมย
และเมื่อจับขโมยได้ก็เอาตัวมาสอบสวน พระราชาทรงสอบสวนเอง สำนวนการสอบสวนน่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเสนอพร้อมทั้งคำบาลีเพื่อเจริญปัญญา
ญาติมิตรที่อ่านเรื่องนี้ ขอความกรุณาอย่าเพิ่งรำคาญว่าเอาคำบาลีมาใส่ไว้รุงรังไปหมด ไม่ถนัดอ่านคำบาลีก็ข้ามไปได้ เมื่อใดสนใจอยากจะดูสำนวนต้นฉบับก็มีให้ดู
…………………………………
สจฺจํ กิร ตฺวํ อมฺโภ ปุริส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยสีติ ฯ
พ่อบุรุษ ได้ยินว่าเธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ
สจฺจํ เทวาติ ฯ
จริงพระพุทธเจ้าข้า
กึการณาติ ฯ
เพราะเหตุไร
น หิ เทว ชีวามีติ ฯ
เพราะไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพพระพุทธเจ้าข้า
…………………………………
ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขา แล้วรับสั่งว่า –
…………………………………
อิมินา ตฺวํ อมฺโภ ปุริส ธเนน อตฺตนา จ ชีวาหิ
พ่อบุรุษ ทรัพย์นี้เธอจงใช้เลี้ยงชีพ
มาตาปิตโร จ โปเสหิ
เลี้ยงมารดาบิดา
ปุตฺตทารญฺจ โปเสหิ
เลี้ยงบุตรภรรยา
กมฺมนฺเต ปโยเชหิ
ใช้เป็นทุนประกอบการงาน
สมเณสุ พฺราหฺมเณสุ อุทฺธคฺคิกํ ทกฺขิณํ ปติฏฺฐเปหิ โสวคฺคิกํ สุขวิปากํ สคฺคสํวตฺตนิกนฺติ ฯ
ใช้ทำบุญในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย อันจะส่งผลสูงส่งเป็นความดีงามล้ำเลิศ มีสุขเป็นผล นำตนไปสู่สวรรค์นั่นเถิด
ที่มา: จักกวัตติสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๙
…………………………………
ขอให้สังเกตว่า การพระราชทานทรัพย์ให้แก่ขโมยนั้นมิได้พระราชทานแบบเลื่อนลอยปล่อยส่ง เหมือนแจกเงินประชาชนตามนโยบายประชานิยมของผู้บริหารบ้านเมืองบางคน หากแต่มีคำสั่งกำกับไปด้วย เป็นการพระราชทานอย่างมีเป้าหมาย
และขอให้สังเกตเป้าหมายด้วยว่า มิใช่มุ่งเพียงทิฏฐธัมมิกประโยชน์-ประโยชน์ในชีวิตนี้เท่านั้น หากแต่มุ่งไปถึงสัมปรายิกัตถประโยชน์-ประโยชน์ในชีวิตหน้าด้วย
เป้าหมายแบบนี้เราแทบจะหาไม่พบในนโยบายของผู้บริหารบ้านเมืองยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม นโยบายแจกเงินให้หัวขโมยได้กลายเป็นความผิดพลาดที่คาดไม่ถึง นำไปสู่ปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลไปถึงอนาคตของมนุษยชาติในกาลต่อไปด้วย
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๔
๑๑:๓๗
…………………………….
จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๓)
…………………………….
จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๑)