บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๑)

จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๒)

จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๒)

————————

จักกวัตติสูตร (ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๓ – ๕๐) นี้ พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เมืองมาตุลา แคว้นมคธ 

น่าศึกษาสืบค้นว่า เมืองนี้อยู่ตรงจุดไหนในปัจจุบัน

ผมเคยเสนอแนวคิดเปิดการศึกษาภูมิศาสตร์พุทธศาสนา คนไทยไปแสวงบุญที่อินเดียกันเสมอ ที่ไปเรียนก็มาก น่าจะมีใครที่มีกำลังทำโครงการ “ศึกษาภูมิศาสตร์พุทธศาสนา” คือไปอินเดียเพื่อไปสืบค้นว่าสถานที่ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก-เช่นเมืองมาตุลาเป็นต้น-นั้น ปัจจุบันอยู่ตรงไหน 

หรือถ้าจะให้ได้ผลดี ก็ขอความร่วมมือกับหน่วยงานทางภูมิศาสตร์-โบราณคดีของอินเดีย ขอข้อมูลที่เขามีอยู่ หรือศึกษาหาขอมูลใหม่ร่วมกัน 

คิดไปคิดมา ก็ต้องมาลงที่คณะสงฆ์ไทย ถ้าคณะสงฆ์ไทยคิดเรื่องนี้ ทำเรื่องนี้ ผมว่าไปได้โลด 

ลองคิดดู เอกชนไปเที่ยวอินเดีย กลับมาเขียนเล่าเรื่องเมืองนั้นเมืองโน้นเป็นสารคดี อ่านสนุก ได้ความรู้ เขายังทำกันเยอะไป 

คณะสงฆ์ตั้งคณะทำงานเรื่องนี้อย่างเป็นการเป็นงาน ทำได้ดีกว่าแน่ๆ คณะสงฆ์ไทยมีกำลังอยู่ในมือมากพอ ทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ หาทุนสนับสนุนเพิ่มเติมพระเราถนัดอยู่แล้ว ทำไมจะทำไม่ได้

ถ้าคณะสงฆ์คิดทำ โลกจะต้องอนุโมทนาชื่นชมยินดี

เชิญกลุ่มที่มีแนวคิด-พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่อินเดีย-มาร่วมงานด้วยก็ยังได้ ถ้าบุคคลกลุ่มนี้มีข้อมูลถึงขนาดรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่อินเดีย ก็น่าจะมีหลักฐานรู้ได้ด้วยว่าเมืองต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกอยู่ที่ไหนกันบ้าง เพราะเมืองต่างๆ ในพุทธประวัติหรือในพระไตรปิฎกจะต้องสัมพันธ์สอดคล้องกันโดยตลอด

—————–

แค่ชื่อเมือง “มาตุลา” คำเดียวคิดไปได้ยาวไกล

กลับมาที่จักกวัตติสูตรกันต่อครับ

พระสูตรนี้เริ่มด้วยตรัสสอนภิกษุให้มีตนเป็นที่พึ่ง ให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง

แล้วตรัสเล่าถึงพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า ทัฬหเนมิ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว

เรื่องแก้ว ๗ ประการนี้น่าศึกษา

ต้นฉบับในพระสูตรระบุว่า 

…………………………………

ตสฺสิมานิ  สตฺต  รตนานิ  อเหสุํ  เสยฺยถีทํ  จกฺกรตนํ  หตฺถิรตนํ  อสฺสรตนํ  มณิรตนํ  อิตฺถีรตนํ  คหปติรตนํ  ปริณายกรตนเมว  สตฺตมํ. 

…………………………………

พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ที่ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้จัดทำ ตอนย่อเรื่องในจักกวัตติสูตร บอกไว้ว่า รัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิประกอบด้วย –

๑. จักร (ลูกล้อรถ) แก้ว (จักกรัตนะ)

๒. ช้างแก้ว (หัตถิรัตนะ)

๓. ม้าแก้ว (อัสสรัตนะ)

๔. แก้วมณี (มณีรัตนะ)

๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)

๖. ขุนคลังแก้ว (คฤหปติรัตนะ)

๗. ขุนพลแก้ว (ปริณายกรัตนะ)

ผมเอ่ยถึง-พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ก็เพื่อให้ญาติมิตรที่อ่านเกิดแรงบันดาลใจ อย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้ว่า มีแหล่งสำหรับศึกษาพระไตรปิฎกอยู่ที่ไหนบ้าง

—————–

อรรถกถาบรรยายคุณสมบัติย่อๆ ของรัตนะแต่ละอย่างไว้ ขอยกมาเสนอในที่นี้ พร้อมคำบาลีกำกับไว้ด้วยเพื่อประโยชน์แก่นักเรียนบาลี

…………………………………

(๑) ทฺวิสหสฺสทีปปริวารานํ  จตุนฺนํ  มหาทีปานํ  สิริวิภวํ  คเหตฺวา  ทาตุํ  สมตฺถํ  จกฺกรตนํ. 

จักรแก้วสามารถยึดสิริสมบัติของทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวารได้ 

(๒) ตถา  ปุเรภตฺตเมว  สาครปริยนฺตํ  ปฐวึ  อนุปริยายนสมตฺถํ  เวหาสงฺคมํ  หตฺถิรตนํ. 

ช้างแก้วเหาะไปบนเวหาสามารถแล่นไปรอบแผ่นดินมีสาครเป็นที่สุด (แล้วกลับมาที่เดิมได้) ก่อนเวลาอาหารทีเดียว

(๓) ตาทิสเมว  อสฺสรตนํ. 

ม้าแก้วก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

(๔) จตุรงฺคสมนฺนาคเต  อนฺธกาเร  โยชนปฺปมาณํ  อนฺธการํ  วิธมิตฺวา  อาโลกทสฺสนสมตฺถํ  มณิรตนํ. 

ในความมืดประกอบด้วยองค์ ๔ แก้วมณีสามารถกำจัดความมืดทำให้เห็นแสงสว่างได้เป็นบริเวณประมาณโยชน์หนึ่ง

(๕) ฉพฺพิธโทสวิวชฺชิตํ  มนาปจาริ  อิตฺถีรตนํ. 

นางแก้วมีความประพฤติเป็นที่พอใจ เว้นโทษ ๖ อย่าง

(๖) โยชนปฺปมาเณ  อนฺโตปฐวีคตนิธึ  ทสฺสนสมตฺถํ  คหปติรตนํ. 

คหบดีแก้วสามารถเห็นขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในแผ่นดินประมาณโยชน์หนึ่งได้

(๗) อคฺคมเหสิยา  กุจฺฉิมฺหิ  นิพฺพตฺติตฺวา  สกลรชฺชมนุสาสนสมตฺถํ  เชฏฺฐปุตฺตสงฺขาตํ  ปริณายกรตนํ.

ปริณายกแก้ว หมายถึงพระราชโอรสองค์ใหญ่ประสูติแต่พระอัครมเหสี สามารถครองราชสมบัติได้ทั้งหมด

ที่มาคำบาลี: สุมังคลวิลาสินี ภาค ๒ หน้า ๖๔ (มหาปทานสุตฺตวณฺณนา)

…………………………………

ขออนุญาตเชิญชวนญาติมิตร-โดยเฉพาะนักเรียนบาลีทั้งหลาย-ช่วยทำการบ้าน ๒ ข้อ นั่นก็คือ –

๑ ความมืดประกอบด้วยองค์ ๔ (รัตนะข้อ ๔) 

องค์ ๔ คืออะไรบ้าง

๒ นางแก้วมีความประพฤติเป็นที่พอใจ เว้นโทษ ๖ อย่าง (รัตนะข้อ ๕) 

โทษ ๖ อย่าง คืออะไรบ้าง

เป็นการฝึกการอ่าน ฝึกการค้นคว้า อุปมาเหมือนชาวครัวช่วยกันทำอาหาร ช่วยกันหาเครื่องแกง ช่วยกันหั่นผัก ขูดมะพร้าว ปอกหอมกระเทียม โขลกน้ำพริก ฯลฯ

ทำเสร็จแล้ว กินด้วยกัน

ช่วยกันทำ ช่วยกันกิน

ถือคติ –

ถ้ากำลังวังชายังไม่สิ้น

เราจะไม่นั่งรอกินท่าเดียว

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๔

๑๕:๐๕

…………………………….

จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๓)

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๑)

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *