ความกล้าหาญทางศีลธรรม
ความกล้าหาญทางศีลธรรม
———————-
: คุณสมบัติจำเป็นของการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา
———————-
คำเตือน:
เรื่องนี้ค่อนข้างยาว
จึงควรอ่านเมื่อมีเวลามากพอและมีสติมากพอๆ กัน
————-
พระต้องเสียภาษี
ถึงเป็นเงินสวด เงินบังสุกุลปากหีบ ก็ไม่เว้น
เพราะเป็นพุทธพานิชย์
เป็นช่องให้คนห่มเหลือง
หากินกับศพ …
ไพบูลย์ นิติตะวัน
—————-
ข้อความข้างต้นนี้คัดมาจากภาพประกอบ
ภาพประกอบนำมาจากภาพที่คุณหมอ แผน สิทธิ์ธีราห์ โพสต์มาให้
คุณหมอ แผน สิทธิ์ธีราห์อยากทราบความเห็นของผม
ว่าสมควร ไม่สมควร เหมาะสมหฤาไม่อย่างไร ในกรณีนี้
————-
ผมเข้าใจว่า เรื่องนี้มีเหตุมาจากความคิดที่จะปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา
ความคิดที่จะปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนามีเหตุมาจากความประพฤติปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมของพระ และต้องการจะให้พระเป็นพระอย่างที่พระควรจะเป็น
ความประพฤติปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมของพระ เอาอะไรเป็นเครื่องวัด ?
ตรงนี้ต้องถอยไปตั้งหลักกันที่ต้นทางก่อน
————-
พระพุทธศาสนาในบ้านเราเป็นพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
คือแบบที่ยึดถือปฏิบัติตามพระธรรมวินัยต้นเดิมอันมีหลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท
พระไตรปิฎกเถรวาทมีรากฐานมาจากสังคายนาครั้งที่ ๑
หลักการของเถรวาทคือ พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนไว้อย่างไร ก็ประพฤติปฏิบัติตามนั้นไม่เปลี่ยนแปลง คือไม่ถอดถอนยกเลิกและไม่บัญญัติเพิ่มเติม
ยกตัวอย่าง สมัยพุทธกาล พระมีเมียไม่ได้ พระไม่ฉันข้าวค่ำ
ทุกวันนี้พระในเถรวาทก็มีเมียไม่ได้ ฉันข้าวค่ำไม่ได้ เหมือนกับสมัยพุทธกาล
ใครละเมิด เป็นผิด เป็นชั่ว
โปรดจับหลักนี้ไว้ให้ดี และใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาปัญหา
พระสงฆ์ในประเทศไทยมีองค์กรปกครองของตนเอง
มีประชาชนเป็นผู้สนับสนุน
มีผู้ปกครองบ้านเมืองเป็น “อุปถัมภก”
พระสงฆ์แต่ละรูปมีพระธรรมวินัย (ซึ่งมาจากพระไตรปิฎกเถรวาท) เป็นหลักประพฤติปฏิบัติ
องค์กรสงฆ์-ตั้งแต่วัดแต่ละวัดขึ้นไป-มีพระธรรมวินัยเป็นหลัก และปฏิบัติตามกฎระเบียบที่องค์กรสงฆ์กำหนดขึ้นโดยไม่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัย ทั้งนี้โดยมีกฎหมายของบ้านเมือง (ที่ไม่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัย) เป็นกรอบใหญ่อีกชั้นหนึ่ง
การเข้ามาเป็นพระในพระพุทธศาสนาเถรวาท ก็เช่นเดียวกับการเข้าเป็นสมาชิกในองค์กรทั้งหลาย คือเป็นไปตามความสมัครใจ มีคุณสมบัติถูกต้อง และต้องปฏิบัติตามระเบียบขององค์กร
หลักของการเข้ามาบวช หรือเส้นแบ่งเขตระหว่างพระกับชาวบ้านก็คือ
– พระไม่มีครอบครัวที่จะต้องเลี้ยงดู
– ไม่มีอาชีพเพื่อแสวงหาทรัพย์สิน
– มุ่งหน้าศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติธรรม
นี่เป็นภาพรวมที่พึงเข้าใจ
สรุปสั้นๆ ว่า พระแต่ละรูปไม่ใช่บวชเข้ามาส่งเดช ไม่ใช่อยู่กันเป็นอิสระและทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
————-
สิ่งที่จะต้องยึดถือให้ตรงกันอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับพระ ต้องยึดพระธรรมวินัยหรือหลักการเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ยึดเอาสิ่งที่เราเห็นพระที่นั่นที่นี่ท่านทำอย่างนั้นอย่างนี้กันทั่วไปเป็นที่ตั้ง
หมายความว่าตัดสินถูกผิดตามพระธรรมวินัย
ไม่ใช่เอาเรื่องที่พระทำกันมากๆ เป็นตัวตัดสิน
และพระธรรมวินัยนั้นเป็นสิ่งที่ต้องประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่อ้างว่าข้อนี้ทำไม่ได้ ข้อนั้นทำไม่ได้-ก็เลยไม่ทำ
หนักๆ เข้า หรือมากๆ เข้าก็เลยเชื่อไปว่าพระธรรมวินัยนั้นเป็นสิทธิที่จะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้ตามความสามารถของแต่ละคน
อะไรข้อไหนที่ทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ
อ้างแบบนั้นผิดหนัก เพราะผิดหลักการ
ผู้ใดทำตามไม่ได้ ผู้นั้นก็ชอบที่จะออกไปอยู่ข้างนอก
จะอยู่ข้างในด้วย แล้วก็ไม่ทำตามด้วย โดยอ้างว่าทำไม่ได้ นั่นไม่ใช่วิสัยของผู้เจริญแล้ว
โปรดจับภาพรวมนี้ไว้ให้มั่น
คราวนี้มาเข้าเรื่องกัน
————-
จะเก็บภาษีพระ – ปัญหามาจากไหน
ปัญหาก็มาจากผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารบ้านเมืองเห็นว่าพระไม่อยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย พระประพฤติไม่เหมาะสม-โดยเฉพาะก็คือการสะสมทรัพย์สินเงินทอง
เป็นที่ทราบกันแล้วนะครับว่า พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเถรวาทสะสมทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ – ผิดพระธรรมวินัย
การที่คิดจะเก็บภาษีพระ ก็เพราะเห็นกันว่าพระมีเงิน/สะสมเงิน
พระมีเงิน/สะสมเงิน ผิดพระธรรมวินัย
เป็นความประพฤติปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม
เจตนารมณ์ในเรื่องนี้ก็คือไม่ต้องการให้พระสะสมทรัพย์สินเงินทองเหมือนกับชาวบ้าน
ต้องการจะให้พระเป็นพระอย่างที่พระควรจะเป็น
นับว่าเป็นเจตนาที่ดี
ถามว่า ถ้าเก็บภาษีกันจริงๆ จะแก้ปัญหาพระสะสมเงินทองได้หรือไม่
ตอบได้เลยว่า แก้ไม่ได้
ตรงกันข้าม จะยิ่งทำให้พระสะสมเงินทองกันมากขึ้น
และมีข้ออ้างที่จะสะสมเงินทองกันได้อย่างไม่ต้องเกรงใจสังคมอีกต่อไป
คือเมื่อให้มีหน้าที่เสียภาษี ก็เท่ากับให้สิทธิที่จะหาเงินและสะสมเงินได้นั่นเอง
เท่ากับเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า พระสงฆ์เถรวาทในประเทศไทยสามารถทำมาหากินสะสมทรัพย์สินเงินทองได้
กลายเป็นส่งเสริมให้พระละเมิดพระธรรมวินัยหนักข้อขึ้นไปอีก
แทนที่จะช่วยทำให้พระเป็นพระอย่างที่พระควรจะเป็น กลับจะช่วยเร่งให้พระกลายเป็นชาวบ้านมากเข้าไปอีก
สรุปไว้ ณ ตรงนี้เลยครับว่า การเก็บภาษีจากพระเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
ไม่ควรเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย
และต้องไม่ยอมให้เกิดขึ้นด้วย
————-
ผมไม่ได้เข้าข้างพระ
เพราะผมกำลังจะบอกต่อไปว่า ปัญหานี้ (และปัญหาอื่นๆ อีกมาก) เกิดจากความย่อหย่อนอ่อนแอของผู้บริหารการพระศาสนาในบ้านเราเอง
ย่อหย่อนตั้งแต่การรับคนเข้ามาบวชแล้วไม่อบรมสั่งสอนให้รู้เข้าใจหลักพระธรรมวินัย
ย่อหย่อนตั้งแต่การไม่ควบคุมกวดขันพระที่อยู่ในปกครองให้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยและแบบธรรมเนียมอันดีงามที่บูรพาจารย์นำสืบต่อกันมา
ย่อหย่อนตั้งแต่ตัวผู้ปกครอง-เริ่มตั้งแต่เจ้าอาวาสเป็นต้นไป-ไม่เข้มแข็งในการปกครอง ซ้ำไม่ประพฤติปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้อยู่ในปกครอง
ย่อหย่อนตั้งแต่เมื่อมีผู้ละเมิดพระธรรมวินัยหรือแบบธรรมเนียมที่ดีของพระ ผู้ปกครองก็ไม่มีความสามารถที่จะกำราบปราบปรามหรือกำจัดออกไปจากพระศาสนาได้ กลับปล่อยปละละเลยทิ้งไว้จนมีกำลังมาก มีพวกมาก และแข็งขืนอยู่ได้ จนในที่สุดผู้ปกครองเองกลับยอมเป็นพวกกับพระประเภทนั้นไปเสียด้วยก็มาก
และย่อหย่อนตั้งแต่ไม่มีนโยบายและการปฏิบัติที่จริงจังยั่งยืนในการอบรมแนะนำประชาชน-ตั้งแต่ชาวบ้านรอบๆ วัดเป็นต้นไป-ให้มีความรู้ในหลักพระศาสนา ให้รู้และแม่นยำในหลักการว่าอะไรพระทำได้ อะไรทำไม่ได้ ทำให้ผู้คนหลงไปสนับสนุนผู้ที่ประพฤติมิชอบ ตลอดจนหลงเชื่อในคำสอนที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน เพราะไม่เข้าใจ ไม่รู้ หรือเพราะรู้ผิด
ที่ว่ามาโดยสรุปนี้คือรากเหง้าของปัญหา
ถ้าจะปฏิรูป ต้องปฏิรูปที่รากเหง้าเหล่านี้
ไม่ใช่ปฏิรูปด้วยการคิดเก็บภาษีพระ-ซึ่งเป็นวิธีคิดที่วิปริต
————-
ถ้าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองมีความกล้าหาญทางศีลธรรม วิธีที่ควรปฏิบัติก็คือ
๑ รวบรวมข้อบกพร่องทั้งปวง จะเป็นประเภทที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนั้นก็ดี หรือระบบระเบียบอื่นใดอีกก็ดีบรรดาที่ย่อหย่อนอ่อนแอ
๒ รวบรวมความประพฤตินอกธรรมนอกวินัยทั้งปวงบรรดาที่ปรากฏให้เห็นในสังคม เช่น กรณีพระสะสมทรัพย์สินเงินทองเป็นต้น ไปจนถึงพระยืนปักหลักบิณฑบาตเป็นที่สุด หรือจะมีอะไรเป็นที่สุดอีกก็ตาม
๓ รวบรวมความปรารถนาดีของประชาชนที่ต้องการให้พระประพฤติปฏิบัติอันจะเป็นการส่งเสริมพัฒนาสติปัญญาให้แก่สังคม-ซึ่งไม่ผิดธรรมผิดวินัย-และพระสามารถทำได้ แต่ไม่มี-หรือยังไม่มี-ความคิดที่จะทำ
๔ รวบรวมบรรดาสาระที่กล่าวข้างต้นนี้ หรือหากจะมีอะไรที่ดีนอกเหนือไปจากนี้ก็ยิ่งดี ทำเป็นหนังสือแจ้งความ ใบเตือน คำฟ้อง คำขอร้อง กระทู้ถาม คำทวงถาม หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ส่งไปยังคณะสงฆ์ ขอให้คณะสงฆ์ชำระสะสาง ปรับปรุง แก้ไข ขับเคลื่อน ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควร
๕ ถ้าจะให้หนักแน่นก็ถามกำกับไปด้วยว่า คณะสงฆ์จะทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้จะทำเมื่อไร และเมื่อไรจะทำเสร็จ ถ้าทำไม่ได้ก็ขอให้บอกมาว่าทำไมจึงทำไม่ได้ หรือว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้าคณะสงฆ์ไม่ทำ ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะช่วยทำให้
ทำอย่างนี้จึงสมควรจะเรียกว่า ปฏิรูปกิจการพระศาสนาที่ถูกต้อง
ไม่ใช่คิดจะเก็บภาษีพระ ซึ่งเป็นเรื่องเลอะเทอะที่สุดเท่าที่เคยมีคนคิดจะทำอะไรกับพระพุทธศาสนา
และการกระทำดังที่เสนอมานี้ไม่ใช่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของพระ หรือเป็นอย่างที่พูดกันเรื่อยเปื่อยว่า-จะให้ฆราวาสปกครองพระ
แต่เป็นการเตือน หรือขอร้องให้พระปกครองตัวเองด้วยพระธรรมวินัย
ถ้าพระอยู่ในกรอบแห่งพระธรรมวินัยแล้ว ไม่มีฆราวาสหน้าไหนกล้าแหยมมาปกครองพระหรอกครับ รับรองได้
————-
แต่เดิมนั้นการพระศาสนาในบ้านเรา ทั้งการอุปถัมภ์บำรุงและแก้ไขข้อบกพร่อง เป็นหน้าที่ของพระเจ้าแผ่นดิน
แต่คนที่เอาอำนาจไปจากพระเจ้าแผ่นดินเมื่อคราวเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ นั้นเอาไปแต่อำนาจ
แต่หน้าที่ส่วนนี้หาได้เอาไปด้วยไม่
ในหนังสือราชานุกิจที่แสดงเรื่องกิจวัตรประจำวันของพระเจ้าแผ่นดิน บอกว่า พระเจ้าแผ่นดินเมืองไทยนั้น เช้าทรงบาตร ค่ำทรงธรรม กลางวันทรงประกอบกิจน้อยใหญ่เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาประชาราษฎร
ตั้งแต่มีผู้เอาอำนาจไปจากพระเจ้าแผ่นดินมาจนถึงบัดนี้ ผมยังไม่เคยได้ยินว่ามีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนไหนของเมืองไทย ใส่บาตรทุกเช้า ฟังเทศน์ทุกเย็น แม้แต่คนเดียว
ตอนนี้เป็นโอกาสที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะแสดงความกล้าหาญในการชำระสะสางสิ่งสกปรกในพระศาสนาแล้ว
ลองทำอย่างที่เสนอมานี้สิครับ ชาวพุทธจะแซ่ซ้องสรรเสริญท่าน-มิใช่เฉพาะในเมืองไทย แต่จะสรรเสริญไปทั่วโลก ตลอดสามโลกเลยทีเดียว
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘