ข้อควรรำพึงในวันสิ้นปี
ข้อควรรำพึงในวันสิ้นปี
———————–
………..
………..
ข้าพเจ้าเขียนชีวิตพระสารประเสริฐถึงตรงนี้ก็วางดินสอที่เขียนลงบนโต๊ะ เอนตัวเอาหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างทอดหุ่ย
ตาเหม่อมองดูกระดาษแผ่นสุดท้าย ซึ่งเขียนเรื่องชีวิตครั้งสุดท้ายของพระสารประเสริฐ
ทันใดนั้นก็เกิดความคิดเลื่อนลอยขึ้นชั่วขณะ
คิดทวนถอยหลังรำพึงถึงชีวิตของเราคือของพระสารประเสริฐและของข้าพเจ้า
ความเป็นไปในชีวิตของเรา ส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่ด้วยเรื่องทำหนังสือ
แสวงหาความรู้แทรกระคนปนไปกับการงานในหน้าที่
ชีวิตของเราความรู้ของเราก้าวไปข้างหน้าเรื่อย
และเราก็บังคับให้เป็นไปเช่นนั้นด้วย
เร่งวันเร่งคืน
ก้าวหน้าเรื่อยไปกับสิ่งนี้แล้ว ก็ก้าวหน้าต่อไปหาสิ่งโน้น
พอกพูนกันเป็นลำดับ
เราเมื่อ ๒๐ ปีก่อนโน้น ถ้าจะเปรียบอย่างที่ท่านว่า ก็เหมือนชายหนุ่มออกเดินทางแต่เช้า
รีบขะมักเขม้นข้ามโขดเขาลำเนาไม้
ตะเกียกตะกายป่ายปืนจากเขาลูกนี้ไปลูกโน้น
ยิ่งไปก็ยิ่งพบโขดเขาใหม่ๆ ขวางหน้าอยู่ร่ำไป
เรารู้สึกอิ่มใจว่าเดินทางข้ามเขาซึ่งขวางเป็นอุปสรรคมาได้อย่างรวดเร็ว
ดีใจที่สามารถบากบั่นฟันฝ่าข้ามที่ทุรกันดารแห่งความที่ยังไม่รู้ ลุล่วงมาได้โดยลำดับ
ตกเวลาเที่ยงวันหยุดพักนั่ง
เหลียวหลังไปดูทางที่มาแล้ว
ทอดตาแลดูตามบริเวณรอบข้าง
ก็เกิดความประหลาดใจว่า เดินทางมาได้ไกลหนักหนา
เวลาบ่ายเลยเที่ยงวันแล้วเราลุกขึ้นและเดินทางต่อไป
คราวนี้ไม่มีขึ้นเขา
แต่ว่าเป็นลงจากเขา
อีกไม่ช้าก็จะถึงเวลาเย็น
ตะวันก็จะยอแสงรอนๆ และแผ่รัศมีอ่อนๆ ไม่แก่กล้า
เอิบอาบซาบซ่านไปทั่วโลกพิภพ
แล้วความสงบสงัดเงียบวังเวงใจในเวลามืดค่ำ ก็จะเข้าครอบงำชีวิตของเราให้เป็นความหลับมิรู้ตื่น
เอ๊ะ นี่จะรีบเร่งกันไปไหน
มีจุดหมายปลายทางคืออะไร
เราก็ไม่รู้
เราไม่มีแผนที่สำหรับนำทาง
และก็ไม่รู้ว่าเบื้องหน้าโน้นแดนโน้นมีอะไรบ้าง
เราเองก็ไม่รู้แน่ ว่าเราต้องการจะไปให้ถึงหรือไม่
คือไปยังที่ซึ่งถ้ามีก็ไม่แน่ใจว่าอยากจะไปให้ถึงเร็วดีหรือไม่ดี
มีประโยชน์อะไรจะป่ายปีนเขาจากลูกนี้ไปลูกโน้นไม่มีที่สิ้นสุด
ครั้งสุดท้ายปลายทางก็ไม่มีอะไร
จะเป็นหลงวกเวียนอยู่ที่เดียวเสียแล้วกระมัง
นี่มันจะไปลงเอยเอาที่ว่า –
“แม้งานการเป็นของดี การเล่นเป็นของดี
แต่ก็เป็นของที่ควรจะให้รู้เสียด้วยว่า การงานและการเล่นเหล่านี้จะเป็นปัจจัยพาเราไปไหน”
บัดนี้พระสารประเสริฐเดินทางล่วงหน้าไปก่อนข้าพเจ้าแล้ว
พระสารประเสริฐตายแล้ว
สังขารซึ่งเป็นเครื่องปรุงแต่งเป็นรูปร่างของพระสารประเสริฐ เป็นร่างกายซึ่งเคยมีชีวิตจิตใจก็กลายเป็นแต่ซากเปล่า
นอนนิ่งแข็งซื่อเย็นมลืดชืดอยู่ในที่แคบจำกัด
ดังที่ได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย
และบัดนี้ซากนั้นก็มลายหายสูญไปหมดแล้ว
ร่างกายมีเขตสุด
แต่ดวงวิญญาณคือชีวิตของพระสารประเสริฐมีเขตสุดไหม
หรือว่าเวลานี้จะร่อนเร่ไปอยู่หนไหน
ไปสู่ภพซึ่งอยู่พ้นดวงดาวที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ
ไกลแสนไกลโน้นกระนั้นหรือ
หรือว่าร่างกายที่กลายเป็นดิน จะเกิดก่อเป็นร่างกายของพระสารประเสริฐขึ้นใหม่
เป็นร่างกายที่ใหญ่กว่าและแข็งแรงดีกว่า
หรือว่าจะเป็นอย่างไรไฉน ก็เหลือรู้
แต่ทว่ามีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งรู้ คือ
“Tout lasse, tout casse, tout passe, Et tout renait”
(สพฺเพเตว ชราธมฺมา เภทธมฺมา จ เกวลา
อจฺจยนฺต จ สพฺเพเต สพฺเพสํว ปุนพฺภโว)
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้แล ย่อมทรุดโทรมไปเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายทั้งสิ้นนี่ ย่อมแตกทำลายไปเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายทั้งหมดนี่ ย่อมเป็นไปล่วง
สิ่งทั้งหลายทั้งมวลแล ย่อมมีภพใหม่
เสฐียรโกเศศ
(พระยาอนุมานราชธน)
—————–
คัดจากเรื่อง “ชีวิตพระสารประเสริฐที่ข้าพเจ้ารู้”
ในหนังสือ “สมญาภิธานรามเกียรติ์” ของ “นาคะประทีป”
หน้า ๒๑๑-๒๑๓
(ในที่นี้จัดแบ่งบรรทัดใหม่เพื่อสะดวกแก่การอ่าน)
—————–
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐
๑๑:๒๓