เถรคาถา-คัมภีร์ย่อยในขุทกนิกาย (บาลีวันละคำ 3,420)
เถรคาถา-คัมภีร์ย่อยในขุทกนิกาย
คำร้อยกรองของพระเถระ
อ่านว่า เถ-ระ-คาถา
ประกอบด้วยคำว่า เถร + คาถา
(๑) “เถร”
อ่านว่า เถ-ระ รากศัพท์มาจาก –
(1) ฐา (ธาตุ = ยืน, ตั้งอยู่) + อิร ปัจจัย, ลบ อา ที่ ฐา ( ฐา > ฐ), แปลง ฐ เป็น ถ, แผลง อิ ที่ อิ-(ร) เป็น เอ
: ฐา > ฐ + อิร = ฐิร > ถิร > เถร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ยังคงอยู่” (ถ้าเป็นพระก็คือยังไม่มรณภาพ หรือยังไม่ลาสิกขา)
(2) ถิร (ธาตุ = มั่นคง) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แผลง อิ ที่ ถิ-(ร) เป็น เอ
: ถิร + ณ = ถิรณ > ถิร > เถร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มั่นคง” (ดำรงเพศภิกษุอยู่อย่างมั่นคง, มีจิตใจมั่นคง)
(3) ถุ (ธาตุ = สรรเสริญ, ชมเชย) + อิร ปัจจัย, ลบ อุ ที่ ถุ, แผลง อิ ที่ อิ-(ร) เป็น เอ
: ถุ > ถ + อิร = ถิร > เถร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้น่าสรรเสริญยกย่อง”
“เถร” เป็นคำนาม หมายถึง พระเถระ, พระผู้ใหญ่, พระภิกษุผู้มีพรรษาตั้งแต่ 10 ขึ้นไป; เป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง ผู้เป็นพระเถระ, ผู้แก่, ผู้เฒ่า, ผู้ใหญ่
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เถร, เถร-, เถระ : (คำนาม) พระผู้ใหญ่ ตามพระวินัยกําหนดว่า พระมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป เรียกว่า พระเถระ. (ป.).”
“เถร” ในที่นี้หมายถึง พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล
(๒) “คาถา”
รากศัพท์มาจาก คา (ธาตุ = ส่งเสียง) + ถ ปัจจัย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: คา + ถ = คาถ + อา = คาถา แปลตามศัพท์ว่า “วาจาอันเขาขับร้อง” หมายถึง คำกลอน, โศลก, คำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง (a verse, stanza, line of poetry)
ในภาษาบาลี คำว่า “คาถา” หมายถึงคําประพันธ์ประเภท “ร้อยกรอง” อย่างที่ภาษาไทยเรียกว่า กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์
คาถาบทหนึ่งจะมี 4 บาท หรือ 4 วรรค จำนวนคำแต่ละวรรคและตำแหน่งคำภายในวรรคที่จะต้องใช้เสียงสั้น-ยาว หนัก-เบา เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของคาถาแต่ละชนิด ทำนองเดียวกับกาพย์กลอนของไทยที่กำหนดว่าคำไหนต้องสัมผัสกับคำไหน
“คาถา” ในความหมายว่า “ร้อยกรอง” นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ฉันท์”
ตัวอย่างคาถาหรือฉันท์ 1 บท ในภาษาบาลี เช่นปัฐยาวัตฉันท์ มีบาทละ 8 พยางค์ –
อาโรคฺยปรมา ลาภา
สนฺตุฏฺฐีปรมํ ธนํ
วิสฺสาสปรมา ญาติ
นิพฺพานปรมํ สุขํ.
“คาถา” แปลว่า “วาจาอันเขาขับร้อง” ความประสงค์ของการแต่งถ้อยคำให้เป็นคาถา ก็เพื่อจะได้ขับขานเป็นท่วงทำนองให้ชวนฟังกว่าการพูดธรรมดานั่นเอง
ในภาษาไทย คำว่า “คาถา” มักเข้าใจกันว่า เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้เสกเป่าหรือร่ายมนต์ขลังให้เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์บันดาลผลที่ต้องการ
เพื่อเสริมความเข้าใจที่ถูกต้อง โปรดดูความหมายของ “คาถา” ในสันสกฤต
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“คาถา : (คำนาม) ‘คาถา,’ กวิตา, คำประพันธ์; โศลก; ฉันทัส, คำฉันท์, พฤตต์; ดาล; เพลง, คำว่า ‘คีต, คีติ, รพ, ราพ, รวะ, ราวะ, เคยะ, คานะ’ ก็มีนัยอย่างเดียวกัน; ประกฤตหรือภาษาใดภาษาหนึ่งซึ่งมิใช่สํสกฤต; ชื่อของอารยาฉันท์ (คำประพันธ์ซึ่งมีหกสิบอักษรมาตรา, จัดไว้ต่างๆ กัน); a verse; a stanza, metre; rhythm; a song, a chant; Prākrit or any language not Sanskrit; the name of the Āryā metre (a verse which contains sixty syllabic instants, variously arranged).”
จะเห็นว่า “คาถา” ในสันสกฤตก็ไม่มีความหมายไปในทางคำเสกเป่าเพื่อเกิดความขลังศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใด
เหตุที่ “คาถา” ในภาษาไทยความหมายเคลื่อนที่ไปจากเดิมน่าจะเป็นเพราะคนไทยนับถือภาษาบาลีว่าเป็นคำพระ เมื่อเห็นคำสอนที่แต่งเป็น “คาถา” มีความหมายในทางดี จึงน้อมมาเป็นกำลังใจ เดิมก็คงเอามาท่องบ่นด้วยความพอใจในความหมายด้วยความรู้ความเข้าใจ แต่เมื่อนานเข้าก็ทิ้งความเข้าใจในหลักคำสอนที่มีอยู่ในถ้อยคำอันเป็น “คาถา” นั้นๆ คงยึดถือแต่เพียงถ้อยคำหรือเสียงโดยเชื่อว่าเมื่อท่องบ่นแล้วจะเกิดผลดลบันดาลให้สำเร็จในทางนั้นๆ คำว่า “คาถา” จึงกลายความหมายเป็นคำขลังศักดิ์สิทธิ์ไปในที่สุด
คำที่เสียงใกล้เคียงกับ “คาถา” คือ “กถา” (กะ-ถา) “คาถา” กับ “กถา” มีความหมายแตกต่างกัน คือ –
คาถา : คำที่แต่งเป็นกาพย์กลอน (a verse, stanza, line of poetry)
กถา : คำพูดทั่วไป (talking, speech, word)
เถร + คาถา = เถรคาถา (เถ-ระ-คา-ถา) แปลว่า “คำร้อยกรองของพระเถระ” หรือ “คำร้อยกรองอันกล่าวถึงเรื่องราวของพระเถระ”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายคำว่า “เถรคาถา” ไว้ดังนี้ –
…………..
เถรคาถา : คาถาของพระอรหันตเถระ ๒๖๔ รูปที่กล่าวแสดงความรู้สึกสงบประณีตในการบรรลุธรรม เป็นต้น จัดเป็นคัมภีร์ที่ ๘ แห่งขุททกนิกาย ในพระสุตตันตปิฎก.
…………..
ขยายความ :
“เถรคาถา” เป็นชื่อคัมภีร์หนึ่งในขุทกนิกาย (คำเดิมสะกด ขุททกนิกาย)
“ขุทกนิกาย” เป็น 1 ใน 5 ส่วนของพระสุตตันปิฎกหรือพระสูตร (พระสุตตันตปิฎกเป็น 1 ใน 3 ของไตรปิฎก คือ พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม)
5 ส่วนของพระสุตตันปิฎกเรียกว่า “นิกาย” ประกอบด้วยทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตนิกาย (คำเดิมสะกด สังยุตตนิกาย) อังคุตรนิกาย (คำเดิมสะกด อังคุตตรนิกาย) และขุทกนิกาย
ขุทกนิกายเป็นส่วนที่รวมคัมภีร์ย่อยไว้ 15 คัมภีร์ ที่เรียกว่า “คัมภีร์ย่อย” ไม่ได้หมายถึงเป็นคัมภีร์เล็กน้อยที่ไม่สำคัญ หากแต่หมายถึงคัมภีร์ที่ท่านไม่จัดรวมเข้าไว้ในนิกายทั้ง 4 แต่แยกออกมาไว้ต่างหาก บางคัมภีร์ใหญ่มากเช่น “ชาดก” มีความยาว 2 เล่มพระไตรปิฎก (เล่มที่ 27-28) และมีคัมภีร์อธิบายขยายความที่เรียกว่า “อรรถกถา” อีกถึง 10 เล่ม
คัมภีร์ย่อย 15 คัมภีร์มีชื่อดังนี้ (1) ขุททกปาฐะ (2) ธรรมบท (3) อุทาน (4) อิติวุตตกะ (5) สุตตนิบาต (6) วิมานวัตถุ (7) เปตวัตถุ (8 ) เถรคาถา (9) เถรีคาถา (10) ชาดก (11) นิทเทส (12) ปฏิสัมภิทามรรค (13) อปทาน (14) พุทธวงส์ (15) จริยาปิฎก
…………..
“เถรคาถา” เป็นคัมภีร์รวมคาถาของพระอรหันตเถระ 264 รูป ที่กล่าวแสดงความรู้สึกสงบประณีตในการบรรลุธรรมเป็นต้น
เนื่องจากพระเถระที่ปรากฏนามในคัมภีร์นี้มีเป็นจำนวนมาก จึงขอนำมาแสดงเฉพาะหมวดหมู่ที่ท่านรวมไว้ ดังนี้ –
(1) เอกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 1 บท) รวม 120 รูป มีพระสุภูติเถระเป็นต้น
(2) ทุกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 2 บท) รวม 49 รูป มีพระอุตตรเถระเป็นต้น
(3) ติกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 3 บท) รวม 16 รูป มีพระอังคณิกภารทวาชเถระเป็นต้น
(4) จตุกกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 4 บท) รวม 12 รูป มีพระนาคสมาลเถระเป็นต้น
(5) ปัญจกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 5 บท) รวม 12 รูป มีพระราชทัตตเถระเป็นต้น
(6) ฉักกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 6 บท) รวม 14 รูป มีพระอุรุเวลกัสสปเถระเป็นต้น
(7) สัตตกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 7 บท) รวม 5 รูป มีพระสุนทรสมุททเถระเป็นต้น
(8) อัฏฐกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 8 บท) รวม 3 รูป มีพระมหากัจจายนเถระเป็นต้น
(9) นวกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 9 บท) มี 1 รูป คือพระภูตเถระ
(10) ทสกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 10 บท) รวม 7 รูป มีพระกาฬุทายีเถระเป็นต้น
(11) เอกาทสกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 11 บท) มี 1 รูป คือพระสังกิจจเถระ
(12) ทวาสทกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 12 บท) รวม 2 รูป คือ พระสีลวเถระ และพระสุนีตเถระ
(13) เตรสกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 13 บท) มี 1 รูป คือพระโสณโกฬิวิสเถระ
(14) จุททสกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 14 บท) รวม 2 รูป คือ พระเรวตเถระ และพระโคทัตตเถระ
(15) โสฬสกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 16 บท) รวม 2 รูป คือ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ และพระอุทายีเถระ
(16) วีสตินิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 20 บท) รวม 10 รูป มีพระอธิมุตตเถระเป็นต้น
(17) ติงสนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 30 บท) รวม 3 รูป มีพระปุสสเถระเป็นต้น
(18) จัตตาฬีสนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 40 บท) มี 1 รูป คือพระมหากัสสปเถระ
(19) ปัญญาสนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 50 บท) มี 1 รูป คือพระตาลปุฏเถระ
(20) สัฏฐิกนิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถา 60 บท) มี 1 รูป คือพระมหาโมคคัลลานเถระ
(21) มหานิบาต (รวมคาถาของพระเถระที่กล่าวคาถามากกว่า 60 บทขึ้นไป) มี 1 รูป คือพระวังคีสเถระ
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เถระตามพระวินัย คือบวชมาเกินสิบพรรษา
: เถระตามธรรมปฏิปทา คือมั่นคงอยู่ในพระธรรมวินัย
#บาลีวันละคำ (3,420)
23-10-64