จากทฤษฎีคาน สู่อวสานแห่งพุทธศาสน์
จากทฤษฎีคาน สู่อวสานแห่งพุทธศาสน์
————————————–
“ทฤษฎีคาน” หมายถึง การยกเอาเรื่องหนึ่งขึ้นมาคาน คือถ่วงอีกเรื่องหนึ่ง
เช่น พระเจิมป้ายทักท้วงพระขับรถไปไหนมาไหนเองว่า พระขับรถไม่มีในพระไตรปิฎก
พระขับรถก็โต้กลับไปว่า พระเจิมป้ายก็ไม่มีในพระไตรปิฎก
สรุปด้วยภาษาชาวบ้านว่า เป็นอันเจ๊ากันไป
……………….
ทฤษฎีคานแบบนี้มีผู้นิยมใช้กันมาก และเมื่อใช้ไปแล้วก็ออกจะรู้สึกเท่หน่อยๆ ด้วย-เป็นทำนองว่า เรานี่ไม่เบานะ
แต่ถ้าใช้สติพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า ทฤษฎีแบบนี้เป็นมหาภัยอย่างยิ่ง
ดูกันง่ายๆ ตามตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า เมื่อยกเอาเรื่องพระเจิมป้ายมาคานแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็จะต้องเงียบไป
พระเจิมป้ายจะไปว่าพระขับรถก็ไม่ได้ เพราะตัวเองก็ไม่มีในพระไตรปิฎกจริงๆ
พระขับรถก็สบายไป ไม่ต้องกลัวใครจะมาว่าอะไรอีก
พระเจิมป้ายก็เจิมป้ายต่อไปอย่างสบาย
พระขับรถก็ขับรถต่อไปอย่างสบาย
จะเห็นได้ว่า ปัญหาเรื่องพระขับรถและพระเจิมป้ายยังไม่ได้ถูกพิจารณาอะไรเลย
จะผิดหรือไม่ผิด
จะถูกหรือไม่ถูก
ไม่มีใครพูดถึง
ถ้าถูกก็ถูกไป
ถ้าผิดก็ยังคงผิดต่อไป ไม่ได้รับการแก้ไข
การปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า
วิธีของพระพุทธเจ้าคือ เหตุเกิดที่ไหน ทำให้สงบที่นั่น
แต่วิธีของทฤษฎีคานไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา หากแต่เป็นวิธียกเอาปัญหาหนึ่งมากลบอีกปัญหาหนึ่ง
จากปัญหาเดียวที่ยังไม่ได้แก้
กลายเป็น ๒ ปัญหาที่ยังไม่ได้แก้
แล้วก็จะมีปัญหาที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ เกิดขึ้นมาอีก และยังไม่ได้แก้อีกเรื่อยไป
……………….
เวลานี้เกิดทฤษฎีคานอีกแบบหนึ่ง
นั่นคือ เวลาใครยกปัญหาอะไรขึ้นมาตั้งเพื่อชี้ให้กันดู และเพื่อช่วยกันแก้
ก็จะมีคนยกปัญหาอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาคาน โดยบอกว่า ปัญหานั้นนะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ปัญหานี้สิใหญ่กว่า
หลักของทฤษฎีคานแบบนี้ก็คือ เหยียบความสำคัญของปัญหาหนึ่งให้เล็กลงไป เพื่อยกความสำคัญของอีกปัญหาหนึ่งให้ใหญ่ขึ้น
ถ้ายังไม่เห็นชัด ขอพูดอีกแง่หนึ่งซึ่งอาจเห็นได้ชัดกว่า
ตัวอย่างเช่น ถ้าใครยกปัญหาต่างศาสนาจะมาเบียดเบียนพระพุทธศาสนาขึ้นมาพูด
ก็จะมีคนยกปัญหาความประพฤติเสื่อมเสียของชาวพุทธเองขึ้นมาคาน โดยบอกว่า นี่ต่างหากคือภัย ที่คุณว่านั่นนะไม่ใช่ภัยหรอก
อ้าว กลายเป็นว่ามาคอยถ่วงรั้งกันไว้เสียฉิบ
คนที่เขาเห็นว่าต่างศาสนาเป็นภัย ก็ทำงานไม่ได้ถนัดเพราะมีคนยกเอาเรื่องอื่นขึ้นมาถ่วงไว้
คนที่จะทำงานขจัดอลัชชีให้หมดไปจากพระศาสนาก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะมัวเสียเวลาไปถ่วงหรือไปเถียงกับอีกพวกหนึ่ง
ทำไมจะต้องทำอย่างนั้น?
ใครเห็นว่าพวกอลัชชีคือตัวทำลายศาสนา ก็ตั้งหน้าตั้งตากำจัดอลัชชีไปสิ ตราบใดที่ยังไม่มีใครมาขวางทาง จะต้องมาห่วงคนที่เห็นภัยจากต่างศาสนาทำไม
คนที่เห็นภัยจากต่างศาสนาก็ทำงานของตัวไป อย่าไปขวางทางคนที่จะกำจัดอลัชชี
นั่นคือต่างฝ่ายต่างก็ทำงานในด้านของตัวไป ไม่ไปขวางทางกันและกัน
แบบนี้จะไม่ดีกว่าหรือ
……………….
เมื่อมักจะมีคนใช้ทฤษฎีคานอยู่เช่นนี้ ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข เพราะมัวแต่คานกันอยู่นั่นแล้ว
คนที่เห็นว่ามะเร็งเป็นโรคร้ายคร่าชีวิตมนุษย์ ก็ด่าคนที่ไปมัวสนใจเรื่องอุบัติเหตุ
คนที่เห็นว่าอุบัติเหตุคร่าชีวิตมนุษย์ ก็ด่าคนที่ไปมัวสนใจเรื่องมะเร็ง
ทั้งมะเร็งและอุบัติเหตุล้วนคร่าชีวิตมนุษย์ทั้งนั้น
ช่วยกันทำทั้ง ๒ เรื่องไปพร้อมๆ กันก็ได้นี่ครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๒
๑๓:๑๕