จะเอาสุขภาพดีไปทำอะไร
จะเอาสุขภาพดีไปทำอะไร
————————–
จะว่าเป็นบุญหรือเป็นอะไรก็ไม่ทราบ ผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสุขภาพ
เมื่อก่อนผมเป็นหวัดบ่อย เริ่มด้วยเจ็บคอ แล้วก็ไอ แล้วก็น้ำมูกไหล ใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะค่อยเข้าสู่ภาวะปกติ
สบายอยู่ได้ไม่กี่สัปดาห์ก็เข้าวงจรเดิม เป็นอย่างนี้ทั้งปี
เมื่ออายุราวๆ ๔๐ ผมไปอยู่นราธิวาส อยู่ที่ค่ายจุฬาภรณ์ ปฏิบัติราชการโดยไม่มีวันหยุด ๒ ปีเต็ม
หลังจากนั้นมาจนบัดนี้ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร
มีผู้สันนิษฐานว่า ค่ายจุฬาภรณ์อยู่ใกล้ทะเล อากาศดี จึงได้ภูมิคุ้มกันที่ดี
ผมไม่ต้องกินยาอะไรทั้งสิ้นในชีวิตประจำวัน
ไม่เคยไปหาหมอ
และตั้งแต่เกษียณอายุราชการมาก็ไม่เคยไปตรวจสุขภาพอีกเลย
ผมให้ร่างกายมันตรวจสอบตัวมันเอง
ถึงเวลากิน กิน
แต่ไม่กินจนอิ่มเกินจำเป็น
ปฏิบัติตามหลักที่ปรากฏในคัมภีร์เถรคาถาว่า –
………………………….
จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป
อภุตฺวา อุทกํ ปิเว
อลํ ผาสุวิหาราย
ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน.
ยังอีก ๔-๕ คำจะอิ่ม
ควรหยุดบริโภค แล้วดื่มน้ำ
เท่านี้ก็พอแล้วที่จะอยู่ได้สบาย
สำหรับภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว
ที่มา: สารีปุตฺตเถร. เถรคาถา พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๓๙๖
………………………….
ถึงเวลาทำงาน ทำ
ไม่เป็นคนว่างงาน-วันนี้ไม่มีอะไรจะทำ
นั่งเหงาไปวันๆ-ไม่ใช่แบบนั้น
ถึงเวลานอน นอน
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้อดนอน
นอนหลับสบายทุกคืน
ไม่มีอาการนอนไม่หลับ
ถึงเวลาตื่น ตื่น
บริหารร่างกายบนที่นอนก่อนจะลุก-ตามแบบที่เรียนรู้มา
เดินออกกำลังทุกเช้า
เหมือนพระออกเดินบิณฑบาต-ได้ศึกษาภูมิประเทศไปในตัว
ยกเว้นวันพระกับหลังวันพระ
วันพระ ต้องไปวัด
หลังวันพระ ต้องสวดมนต์ตอนเช้า
(ปกติสวดก่อนนอน-ทุกคืน ไม่เคยขาด)
ที่ต้องสวดมนต์ตอนเช้าหลังวันพระก็ติดมาจากสมัยไปนอนค้างวัดในวันอุโบสถ เช้ามืดตื่นนอนทำวัตรสวดมนต์แล้วจึงกลับบ้าน
ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะไปนอนวัด กลางวันทำกิจต่างๆ ที่วัดเสร็จแล้วกลับมานอนบ้าน รุ่งขึ้นก็เลยต้องสวดมนต์ตอนเช้าเสมือนว่านอนค้างวัดตามที่เคยปฏิบัติ
ถ้าไม่มีกิจดังกล่าวหรือมีกิจอื่นแทรกซ้อน ผมออกเดินทุกวัน
ถึงเวลาขับถ่าย ขับถ่ายเป็นปกติ
ไม่เคยมีอาการท้องผูก
รักษาอารมณ์ราบเรียบสม่ำเสมอ
ไม่กระสันอยากนั่นนี่จนหัวปักหัวปำ
ไม่โมโหโกรธาเอะอะอาละวาดกับใคร
ฝึกสติ-เอาใจไว้กับตัวเสมอ-พร้อมๆ ไปกับทำกิจอื่นๆ ตามปกติธรรมดา
โลภ โกรธ หลง มีเป็นธรรมดาของปุถุชน
แต่พยายามรู้ทัน
พอเรารู้ทัน มันก็จะหลบหน้าไป
มันมาอีก ก็รู้ทันมันอีก
…………………..
ผมเชื่อว่าวิธีการทั้งหลายทั้งปวงดังที่เล่ามานี้ไม่ใช่การตรวจสุขภาพประจำปี
แต่เป็นการตรวจสุขภาพประจำวันเลยทีเดียว
อาจารย์ผู้หญิงที่บ้านท่านมักจะแนะนำผม (บางทีถึงกับดุเอาหน่อยๆ) ว่า
กินผักนี่ดี ช่วยระบายท้อง
กินน้ำ..นี่ดี ช่วยยังงั้นๆๆ
แต่ปรากฏว่า เราสองคนนี่ ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ผมกับลูกๆ ต้องผลัดกันไปนอนเฝ้าไข้ท่านก็หลายครั้ง
แต่ผมยังไม่เคยไปนอนโรงพยาบาลให้ลูกเมียเฝ้าไข้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผมพูด (เล่นๆ) เสมอว่า ผมจะเข้าโรงพยาบาลครั้งเดียว
ออกจากโรงพยาบาลก็เข้าวัดเลย
ในความหมายว่าขอป่วยครั้งเดียวแล้วตายเลย
ผมไม่รู้ว่าจะรักษาปกติภาพเช่นนี้ไปได้นานแค่ไหน เพราะฉะนั้นผมก็ต้องไม่ประมาทด้วย
ผมอาจจะโชคดีตรงที่ไม่ต้องมีกังวลเรื่องทำมาหากิน เพราะได้รับพระราชทานบำนาญเลี้ยงชีพทุกเดือน
ถ้าต้องมีภาระทำงานหาเลี้ยงชีพ ผมอาจไม่สามารถบริหารชีวิตประจำวันให้ราบรื่นได้เหมือนทุกวันนี้
ใครที่ยังต้องมีภาระทำงานหาเลี้ยงชีพ ก็ควรจะได้แง่คิดว่าสมควรวางแผนชีวิตให้รอบคอบ เช่น –
จะมีกำลังทำงานหาเงินไปได้อีกแค่ไหน
เมื่อถึงเวลาหมดกำลัง จะเลี้ยงชีพอย่างไร
ถ้าอยู่ไปจนถึงวัยชรา จะดูแลตัวเองอย่างไร
ถ้าไม่วางแผนให้ดี อาจไม่มีเวลาทำความดีให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นคน
เพราะวันเวลาในชีวิตจะหมดไปกับความกังวลว่า –
พรุ่งนี้จะเอาที่ไหนกิน
สัปดาห์นี้จะเอาที่ไหน
เดือนนี้จะเอาที่ไหน
ในที่สุด ค่าของชีวิตจะใกล้กับสัตว์เข้าไปทุกที
เพราะสัตว์มันคิดแต่เพียงว่า-วันนี้จะหากินอย่างไรจึงจะอยู่รอด
แต่มันคิดไม่เป็นว่าจะอยู่รอดไปทำอะไร
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
๑๙:๑๐
…………………………………..