พระไม่ใช่ขอทาน
พระไม่ใช่ขอทาน
—————
เมื่อวันก่อนผมเล่าเรื่องไปค้างกรุงเทพฯ
ผมเดินดูตลาดยามเช้า แล้วซื้อโจ๊กใส่บาตร
ผมยังไม่ได้เล่ารายละเอียดอย่างหนึ่ง
คือ แทบจะทันทีที่ผมปล่อยมือจากถุงโจ๊กลงในบาตร พระท่านก็ให้พรตรงนั้นเลยตามความนิยมของคนรุ่นใหม่
เรื่องนี้น่าศึกษาให้เข้าใจชัดเจนว่า พระในสมัยพุทธกาลไปบิณฑบาตท่านอนุโมทนากันตรงที่โยมใส่บาตรนั่นเลยหรือเปล่า
ขอแรงคนวัดที่พอมีเวลา กรุณาค้นคว้ามาสู่กันฟัง เป็นการให้ข้อมูลความรู้แก่สาธารณชน
แต่ตามธรรมเนียมของพระไทย เมื่อท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้วจึงอนุโมทนา ยะถาสัพพี-ที่เรียกกันว่าให้พร- ไม่ใช่ยืนให้กันที่ข้างทาง
ต่อไปนี้พระฉันเสร็จแล้วคงไม่ต้องอนุโมทนา เพราะอนุโมทนาไปแล้วตอนโยมใส่บาตร
และจะกลายเป็นธรรมเนียมใหม่ขึ้นมา คือยืนให้พรกันข้างทางตรงที่โยมใส่บาตร
คนที่เรียกร้องให้พระให้พรกันตรงที่ใส่บาตรนั้นทำเหมือนกับเรียกร้องค่าตอบแทนจากการใส่บาตร-ขอประทานโทษ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ
…….
ผมอยากจะบอกพระรูปนั้นว่า ไม่ต้องให้พรผมข้างทางหรอก กลับถึงวัดฉันเสร็จแล้วค่อยให้พรให้เป็นกิจจะลักษณะก็ได้ ผมไม่รีบใช้พร จึงไม่จำเป็นต้องรีบให้ และผมไม่มีความประสงค์จะรับค่าตอบแทนใดๆ จากพระคุณท่าน
———–
ลองคิดดูนะครับ เราใส่บาตรเพื่ออะไร
๑ ถ้าใส่บาตรเพื่ออุปถัมภ์บำรุงให้พระสงฆ์มีกำลังศึกษาปฏิบัติธรรม
ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องขอรับพรกันทันทีที่ตรงนั้น เพราะใส่บาตรบำรุงสงฆ์ ไม่ใช่ใส่บาตรแลกพร
๒ ถ้าใส่บาตรเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องอุทิศกันทันทีที่ข้างถนน ใส่บาตรเสร็จแล้วจะไปอุทิศที่ไหนที่เหมาะๆ ก็ได้
จริงอยู่ มีหลักอยู่ว่า อุทิศขณะนั้นจิตยังสดใสอยู่กับบุญที่ทำ เจตนาย่อมมีกำลังแรง แต่การอุทิศส่วนบุญก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยเสียงให้พรเป็น background แต่ประการใดเลย อุทิศเงียบๆ ก็ได้ และการอุทิศส่วนบุญนั้นเรานึกถึงบุญที่ทำมาขึ้นได้เมื่อไรก็อุทิศส่วนบุญนั้นได้ทุกครั้งไป ไม่ใช่ว่าพอล่วงเวลานั้นไปแล้วอุทิศส่วนบุญไม่ได้
๓ ถ้าใส่บาตรเพื่อขจัดความตระหนี่
ก็ยิ่งไม่จำเป็นที่จะต้องขอรับพร เพราะการอยากได้พรย่อมเป็นฉายาอย่างหนึ่งของความตระหนี่
๔ ถ้าใส่บาตรเพื่อบำเพ็ญบุญตามหลักทาน ศีล ภาวนา
หรือพูดเป็นสำนวนว่าเก็บบุญใส่ย่ามเป็นเสบียงเดินทางไปในสังสารวัฏ พอใส่เสร็จก็ได้บุญทันทีอยู่แล้ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพระต้องให้พรด้วยจึงจะสำเร็จเป็นบุญ
๕ แม้แต่ใส่บาตรเพื่อแลกพร
การใส่บาตรเป็นพร-คือเป็นสิ่งประเสริฐอยู่แล้วในตัว จะต้องเอาไปแลกกับพรอะไรอีก
———–
ความจริง การอนุโมทนาตามแบบแผนของพระพุทธเจ้าเป็นการกล่าวธรรมะให้ฟัง เป็นเจตนาแสดงธรรม เราจึงมีคำเรียกพระออกบิณฑบาตว่า พระไปโปรดสัตว์ แล้วตัดลงเหลือแค่-ไปโปรด-เช่นในคำว่า-มีบาตรไม่โปรด มีโบสถ์ไม่ลง มีอาบัติไม่ปลง เป็นสงฆ์อยู่ได้อย่างไร
การกล่าวอนุโมทนาที่แท้จริงจึงไม่ใช่การให้พร แต่เป็นการแสดงธรรม เมื่อแสดงธรรมจบแล้วอาจอ้างเอาคุณพระรัตนตรัยมาแสดงความปรารถนาดีต่อผู้ฟังอีกส่วนหนึ่งด้วย
สาระของคำอนุโมทนาจึงต่างจากคำให้พร หรือเสียงสรรเสริญของคนขอทานข้างทางที่เอ่ยขึ้นเมื่อมีผู้หย่อนสตางค์ลงในภาชนะ
“ภิกขุ” หรือภิกษุ แปลว่า “ผู้ขอ” ก็ได้
แต่ภิกษุไม่ใช่ขอทานอย่างที่เราเห็น
พระไทยสมัยก่อนท่านไม่ได้ให้พรกันข้างถนน
เมื่อผมบวชเณร อาจารย์สอนว่าเดินบิณฑบาตให้ภาวนาว่า นามรูปํ อนิจฺจํ นามรูปํ ทุกฺขํ นามรูปํ อนตฺตา ทั้งไปและกลับ และกำชับว่าอย่าพูดอะไรกับญาติโยมเว้นไว้แต่ถูกถามก็ให้ตอบเท่าที่จำเป็น
เดี๋ยวนี้ใส่บาตรแล้วต้องให้พระให้พรกันตรงนั้นเลย
เรากำลังช่วยกันทำให้พระกลายเป็นขอทานเข้าไปทุกวัน
พระไม่ใช่ขอทานนะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๙ ตุลาคม ๒๕๕๘
…………………………….