ใครควรศึกษาพระไตรปิฎก (๑)
ใครควรศึกษาพระไตรปิฎก (๕)
ใครควรศึกษาพระไตรปิฎก (๕)
—————————
ถ้าคิดจะช่วยกันรักษาพระศาสนา ต้องปรับทัศนคติกันใหม่นะครับ
อันที่จริงก็ปรับไปหาทัศนคติเดิมนั่นเอง เพราะบรรพบุรุษของเราท่านเรียนบาลีเพื่อไปศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอย่างแท้จริง
พวกเรารุ่นใหม่ๆ นี่ต่างหากที่ไปทำให้เกิดความเบี่ยงเบน คือไปให้ค่านิยมหรือให้ศักดิ์และสิทธิ์บางอย่างแก่ผู้เรียนบาลี
เช่น-ถ้าจบประโยคนี้จะได้วุฒิเท่ากับชั้นนั้นของทางบ้านเมือง
อย่างเวลานี้จบประโยค ๙ มีศักดิ์และสิทธิ์เป็นปริญญาตรี
ในทางคณะสงฆ์ พระที่จบประโยค ๗ ขึ้นไป ถ้าจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ชั้นต่ำสุดก็ต้องได้เป็นพระราชาคณะ (คือเป็น “เจ้าคุณ”) ไม่ต้องไต่ขึ้นไปจากชั้นพระครูสัญญาบัตร-อย่างนี้เป็นต้น
เพราะศักดิ์และสิทธิ์ที่เราไปกำหนดให้กันอย่างนี้ เป้าหมายของการเรียนบาลีก็จึงเบี่ยงเบน
จากเดิม-เรียนบาลีเพื่อก้าวขึ้นไปศึกษาพระไตรปิฎก ก็กลายเป็น-เรียนบาลีเพื่อให้ได้วุฒิ ได้ปริญญา เพื่อเป็นสะพานข้ามไปยังจุดหมายอื่นๆ ต่อไป
การเรียนบาลีทุกวันนี้จึงมีจุดหมายเยอะแยะไปหมด-ยกเว้นศึกษาพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นจุดหมายดั้งเดิม
คำถามที่ต้องช่วยกันหาคำตอบก็คือ-แล้วเราจะทำอย่างไรกัน?
แน่นอน ที่พูดมานั้นย่อมเปิดช่องให้ “สวนกลับ” ได้ว่า ตอนที่คุณบวชเรียนบาลี คุณก็เป็นแบบนั้น คุณก็ทำแบบนั้นไม่ใช่หรือ แล้วคุณยังจะมีหน้ามาว่าคนอื่นอีกหรือ – ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
น้อมรับครับผม
เมื่อผมเรียนบาลี ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่-เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก
เหตุผลสำคัญก็คือ-เพราะไม่มีใครมาบอกตอกย้ำ หรือแนะแนว
ที่พอจะมีคนแนะแนวก็คือ-ถ้าจบประโยค ๙ อยู่ก็ได้เป็น “เจ้าคุณ” สึกก็มีช่องทางเข้ารับราชการ
รู้เท่านี้ มองเห็นอนาคตอยู่เท่านี้
ไม่มีใครบอกว่า จบประโยค ๙ แล้วควรศึกษาพระไตรปิฎกต่อไปเพราะนั่นคือจุดประสงค์ของการเรียนบาลี
ผมเชื่อว่า แม้พระภิกษุสามเณรที่กำลังเรียนบาลีกันอยู่ในเวลานี้ เราก็ไม่ได้บอกตอกย้ำกันว่า-จบประโยค ๙ แล้วควรศึกษาพระไตรปิฎกต่อไป
เราบอกกันแต่ว่า จบประโยค ๙ แล้ว มีเส้นทางต่อไปอย่างนั้นๆ
บอกถึงอนาคตว่า-ไปได้ถึงตรงนั้นๆ
เราตั้งความหวังไว้ว่า พระภิกษุสามเณรที่กำลังเรียนบาลีกันอยู่ในเวลานี้จะเป็นกำลังของพระศาสนาในอนาคต
แต่คำว่า “กำลังของพระศาสนา” ก็ยังไม่ชัดเจน ยังพร่ามัวอยู่
ถามว่า-จะเป็นกำลังได้อย่างไร คือเรียนบาลีจบแล้วจะให้ท่านไปทำอะไร หรือจะให้ท่านไปเป็นอะไร ท่านจึงจะได้เป็น “กำลังของพระศาสนา”?
ไม่มีใครตอบให้ชัดเจนได้
ได้แต่พูดรวมๆ ไปว่า-ท่านเป็นความหวังของพระศาสนา หรือที่ชัดลงไปอีกหน่อยก็ว่า-ท่านจะเป็นผู้บริหารการพระศาสนาในอนาคต
แต่ก็ยังคงไม่รู้อยู่นั่นเองว่า-แล้วจะให้ท่านไปทำอะไร ทำตรงไหน ทำเมื่อไร ทำอย่างไร ท่านจึงจะได้เป็นผู้บริหารการพระศาสนาที่เราวาดหวัง
คำถามนี้ คณะสงฆ์-ชี้ลงไปที่มหาเถรสมาคม-ควรต้องมีคำตอบที่ชัดเจน
ผู้บริหารการพระศาสนาในวันนี้ต้องมีแผน ต้องวางแผน ต้องเตรียมแผนไว้พร้อมแล้วในการที่จะใช้พระภิกษุสามเณรที่กำลังเรียนบาลีกันอยู่ในเวลานี้ให้ไปทำอะไร-ที่จะเรียกได้ว่าเป็น “กำลังของพระศาสนา”
ผมเชื่อว่า ผู้บริหารการพระศาสนาของเราไม่เคยมีแผนอะไรทั้งสิ้น
วัดแต่ละวัดจะเรียนบาลีกันอย่างไร คณะสงฆ์ก็ไม่มีแผน
นักเรียนบาลีจะมาจากไหน จะอยู่กันอย่างไร คณะสงฆ์ก็ไม่มีแผน
ระบบการเรียนการสอน จะได้มาตรฐานหรือไม่ จะกำกับดูแลกันอย่างไร คณะสงฆ์ก็ไม่มีแผน
ขาดครู ขาดนักเรียน จะแก้ไขกันอย่างไร คณะสงฆ์ก็ไม่มีแผน (วัดใคร ใครก็แก้ปัญหากันเอาเอง)
ผู้ที่เรียนจบประโยค ๙ แล้ว จะเอาไปใช้งานอะไร หรือจะหางานอะไรให้ทำ คณะสงฆ์ก็ไม่มีแผน
สิ่งที่คณะสงฆ์ทำ มีอยู่อย่างเดียวก็คือ จัดการสอบ
ก่อนสอบ ไปยังไงมายังไง ไม่รู้ ไม่รับรู้
หลังสอบแล้ว จะไปทำอะไรที่ไหนยังไง ไม่รู้ ไม่รับรู้
ข้อเสนอของผมก็คือ คณะสงฆ์ต้องกำหนดแผนให้ชัดเจน
ศักดิ์และสิทธิ์ที่กำหนดให้กัน ก็ยังคงให้กันต่อไป
ใครจะใช้เป็นสะพานข้ามไปไหน ก็เชิญตามอัธยาศัย
แต่ประกาศออกมาให้ชัดๆ ว่า คณะสงฆ์ไทยจะสนับสนุนผู้เรียนบาลีให้มุ่งไปศึกษาพระไตรปิฎกเป็นสำคัญ
ใคร สำนักไหนส่งเสริมสนับสนุนการเรียนบาลีแบบเดิม ก็ส่งเสริมสนับสนุนกันต่อไปได้เต็มที่
แต่ขอแรงให้ช่วยกัน “ต่อยอด” ให้ผู้เรียนอีกยอดหนึ่ง – นั่นคือ ส่งเสริมสนับสนุนให้เรียนบาลีเพื่อมุ่งไปศึกษาพระไตรปิฎกด้วย
พูดกันชัดๆ คณะสงฆ์ไทยต้องสร้างและผลิตผู้เรียนบาลีที่มุ่งไปศึกษาพระไตรปิฎกเพื่อรักษาพระศาสนา
ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นตามศรัทธาของใครของมัน บังคับกันไม่ได้-อย่างที่พูดกัน
ที่เป็นมา เรารอให้มีพระภิกษุสามเณรชนิดนั้นเกิดขึ้นเองตามบุญตามกรรมตามศรัทธา
แต่ต่อไปนี้ คณะสงฆ์จะต้องสร้างและผลิตขึ้นมาตามแผนที่กำหนดขึ้น
ถ้ายังไม่มีแผน ก็จงรีบมีตั้งแต่เดี๋ยวนี้
ถ้ายังไม่เคยคิด ต้องรีบคิดตั้งแต่เดี๋ยวนี้
หมดเวลา หมดสมัยแล้วกับการ-นั่งทับตำแหน่งกันนิ่งๆ รอให้หัวโต๊ะสั่งอย่างเดียว
ในกระบวนการเรียนบาลี ผู้บริหารการคณะสงฆ์ต้องทำมากกว่าการจัดสอบเพียงอย่างเดียว-แบบที่กำลังทำอยู่
กล่าวโดยสรุป คณะสงฆ์ต้องรับผิดชอบตั้งแต่เสาะแสวงหาคนที่จะมาบวชเรียน ไปจนกระทั่งเมื่อเรียนจบแล้วจะให้ท่านเหล่านั้นไปทำงานอะไร-เพื่อพระศาสนา
เวลานี้เรามีพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ออกมาบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒
ผมไม่แน่ใจว่า จนถึงวันนี้ผู้บริหารการพระศาสนาของเราศึกษาและทำความเข้าใจกับพระราชบัญญัติฉบับนี้กันบ้างแล้วหรือยัง
ถ้ายัง รีบหน่อยนะขอรับ
พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้เป็นเครื่องมือหรือข้ออ้างได้เป็นอย่างดีในการที่จะประกาศแนวทางการเรียนบาลี –
เรียนบาลีเพื่อมุ่งไปศึกษาพระไตรปิฎก
ศึกษาพระไตรปิฎกเพื่อรักษาพระศาสนา
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
๑๘:๓๓
…………………………….