จากราชบุรี ถึงวัดกัลยาณมิตร
———————–
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ผมกับญาติโยมอีกสองสามคนติดตามพระเดชพระคุณพระธรรมปัญญาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ราชบุรี เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี ไปไหว้พระที่วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ
นอกจากไปไหว้พระแล้วก็ตั้งใจจะไปสืบการพระศาสนาที่นั่นด้วย
ญาติมิตรทั้งหลายคงจะได้เห็นได้ฟังข่าวกรมศิลปากรทุบศาลาในวัดกัลยาณมิตรด้วยข้อหาว่าสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต
แล้วก็ข่าวและภาพต่างๆ ที่บอกว่าเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรได้รื้อทำลายโบราณสถานภายในวัดกัลยาณมิตรไปมากมาย
มีสื่อเอาภาพมาแสดงให้เห็นว่า โบราณสถานอันมีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมถูกเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรรื้อทำลายไป-ดูเหมือนจะมากถึง ๒๒ รายการ
นอกจากนั้นเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรยังได้ก่อสร้างอะไรๆ ขึ้นมาภายในวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกมากมาย-รวมทั้งศาลาที่กรมศิลปากรเข้าไปทุบ ๒ หลังนั่นด้วย
ใครเห็นภาพและข่าวนั้นแล้วก็จะต้องสลดใจ
ฝ่ายหนึ่งสลดใจว่าเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรทำไมถึงได้โง่เขลาเบาปัญญาไปทำลายสมบัติอันมีค่าของบ้านเมืองได้ถึงเพียงนั้น
อีกฝ่ายหนึ่งสลดใจว่าทำไมกรมศิลปากรถึงได้ใจคอเหี้ยมหาญไม่กลัวบาปกรรมไปทุบศาลาที่สร้างขึ้นด้วยศรัทธาของชาวบ้านได้ถึงเพียงนั้น
กรณีวัดกัลยาณมิตรนี้มีหลายท่านพยายามจะให้ผมวิจารณ์ว่าถูกผิดเป็นอย่างไร
ผมยังไม่ได้พูดอะไรมากเพราะยังไม่รู้ข้อเท็จจริง เคยเอ่ยพาดพิงถึงกรมศิลปากรไปเล็กน้อยเกี่ยวโยงกับการซ่อมโบสถ์เก่าที่วัดแห่งหนึ่งในราชบุรีซึ่งกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนไว้
ก็มีญาติมิตรที่หวังดีกรุณาเตือนว่า-ระวังจะเป็นการหมิ่นประมาท
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ราชบุรี ก็เอ่ยกับผม-หรือผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยกับท่านก็จำไม่ได้-ว่าไปเที่ยววัดกัลยาณมิตรกันสักวันดีไหม
————-
ไปสนทนากับพระเดชพระคุณท่านเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวันนั้นแล้วจึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ท่านเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรรูปปัจจุบันเดิมอยู่วัดชนะสงคราม ได้รับพระบัญชาให้มาครองวัดกัลยาณมิตรตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๕ (เจ้าอาวาสพระอารามหลวงมีกำหนดว่าสมเด็จพระสังฆราชจะต้องทรงมีพระบัญชาแต่งตั้ง)
เบื้องหลังพระบัญชาครั้งนั้น-พูดตามภาษาชาวบ้าน-ก็คือท่านถูกบังคับให้มาเป็นเจ้าอาวาสทั้งๆ ที่ท่านปฏิเสธมาตลอด
ดูประวัติวัดกัลยาณมิตรจะเห็นว่าเจ้าอาวาสรูปก่อน มรณภาพเมื่อปี ๒๕๔๒
เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันมาเป็นเมื่อปี ๒๕๔๕
แสดงว่าท่านบ่ายเบี่ยงมาได้ถึง ๒ ปี
ครั้งสุดท้ายที่ท่านปฏิเสธ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดชนะสงครามท่านออกปากว่า
“ถ้าพระเห็นแก่ตัวแบบนี้ พระศาสนาก็ฉิบหายหมดเท่านั้นเอง”
โดนคำนี้เข้า ท่านจึงตัดสินใจยอม
————-
วัดกัลยาณมิตรในเวลานั้นทรุดโทรมและเสื่อมโทรมขนาดหนัก ทั้งเสนาสนะ ทั้งกิจการภายใน
ถ้าเป็นคนป่วยก็คือกำลังเน่าเฟะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผลประโยชน์ที่เกาะกินอยู่กับหลวงพ่อโตและที่ดินของวัดซึ่งมีรายได้มหาศาล แต่ส่วนใหญ่เข้ากระเป๋า ไม่ได้เข้าวัด
ท่านปฏิเสธผลประโยชน์ที่ฝ่ายนั้นหยิบยื่นให้อย่างเด็ดเดี่ยว แต่ลงมือจัดการถอนรากถอนโคนของเหลือบฝูงนี้อย่างดุเดือด
คนที่เสียผลประโยชน์กลุ่มนี้แหละที่สร้างภาพและข่าวเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรรื้อทำลายโบราณสถานอันมีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมไปมากถึง ๒๒ รายการ
ซึ่งเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
——-
ใครอยากรู้ความเท็จ ก็เชิญหอบเอาหลักฐานรายการโบราณวัตถุ-สถานที่อ้างว่าถูกทำลายโดยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรเข้าไปตรวจสอบดูได้เลย
ความข้อนี้เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรท่านไม่ได้พูด แต่ผมพูดเอง
——-
ทางด้านเสนาสนะ ส่วนไหนที่ซ่อมสร้างได้เองตามอำนาจของเจ้าอาวาส ท่านก็ดำเนินการซ่อมสร้างไป ส่วนไหนที่กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนไว้ ท่านก็ทำเรื่อขออนุญาตตามระเบียบ
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ขออนุญาตไปกี่หนกี่ครั้ง กรมศิลปากรไม่เคยตอบอนุญาต
ท่านถึงกับเคยเข้าไปขอร้องกับตัวอธิบดีกรมศิลปากรว่าอย่าเอาแต่นั่งในห้องแอร์ ขอให้ออกไปดูความทรุดโทรมของโบราณสถานในวัดกัลยาณมิตรด้วยตัวเองบ้าง
มีเรื่องเดียวที่กรมศิลปากรอนุญาต คือขอย้ายส้วมที่สร้างไว้ในเขตพุทธาวาสออกไป
นอกนั้นเงียบหมดทุกเรื่อง จนกรมศิลปากรเปลี่ยนอธิบดีไป ๔ หรือ ๕ คน ก็ยังไม่มีคำอนุญาต
กรมศิลปากรจะมีเหตุผลอะไร และตัวท่านเจ้าอาวาสจะเห็นเงื่อนงำอะไรก็ไม่ทราบ แต่ท่านได้ประกาศให้รับรู้กันแล้วว่า –
กรมศิลปากรจะไม่ได้กินเงินของวัดกัลยาณมิตรแม้แต่บาทเดียว!
————-
เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับวัดกัลยาณมิตรนี้กำลังจะเกิดขึ้นที่วัดเทพอาวาส จังหวัดราชบุรี
ที่วัดเทพอาวาสมีโบสถ์เก่าอยู่หลังหนึ่ง รูปทรงคล้ายกับวิหารหลวงวัดกัลยาณมิตร กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ขณะนี้กำลังทรุดโทรมอย่างหนัก
เจ้าอาวาสญาติโยมมีความคิดว่าจะต้องบูรณะ ทำเรื่องขออนุญาตมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับคำอนุญาต
ล่าสุดได้ทราบว่าคนของกรมศิลปากรบอกว่าบูรณะโบสถ์หลังนี้ต้องใช้เงิน ๒๓ ล้าน วัดต้องมีเงินอย่างน้อย ๖ ล้าน กรมศิลปากรจะตั้งงบประมาณสมทบให้ ๑๗ ล้าน นั่นแหละจึงจะลงมือบูรณะได้
ผมเชื่อว่าถ้ารอทำตามที่ว่านี้ โบสถ์หลังนี้คงจะพังหมดพอดี
ไม่ทราบว่าท่านเจ้าอาวาสจะกล้าประกาศหรือเปล่าว่า กรมศิลปากรจะไม่ได้กินเงินของวัดเทพอาวาสแม้แต่บาทเดียว!
————-
จากการไปสืบการพระศาสนาที่วัดกัลยาณมิตร ผมได้ข้อสรุปว่า
๑ อุดมคติของสื่อมวลชนที่ผมได้ยินมาตั้งเป็นเด็กพออ่านหนังสือออกที่ว่า “มีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ” นั้น เวลานี้ไม่มีใครถือเช่นนั้นอีกแล้ว
ข้อเท็จจริงจึงกลายเป็นว่า สื่อในบ้านเราทุกวันนี้ “มีหน้าที่ทำความเท็จให้ปรากฏ”
ใครอยากพิสูจน์ก็จงทำอะไรให้เป็นข่าวขึ้นมาสักเรื่อง แล้วตรวจดูข่าวที่ออกมาก็จะเห็นได้ด้วยตัวเอง
เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เสพข่าวสาร พึงเอาสองหรือสามสี่หารไว้ให้จงมาก
ถ้าอยากรู้สถานการณ์จริงว่าเขารบกันอย่างไร จงเข้าไปในสนามรบ อย่านั่งมโนอยู่แค่ขอบสนาม
๒ กฎหมายว่าด้วยโบราณสถานที่ให้อำนาจไว้แก่กรมศิลปากรนั้น มีเจตนารมณ์ที่จะรักษาโบราณสถานไว้ให้ยั่งยืน ไม่ให้ใครมารื้อทำลายหรือซ่อมทำโดยพลการ เพราะอาจจะทำให้เสียคุณค่าทางศิลปะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผู้ได้รับมอบอำนาจจึงควรต้องใช้อำนาจให้สอดค้องกับเจตนารมณ์นั้น มิใช่ใช้อำนาจเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจนกระทั่งลืมนึกถึงประโยชน์ที่แท้จริงของโบราณสถาน
โบราณสถานทุกแห่งในเมืองไทยกรมศิลปากรไม่ได้เป็นผู้สร้าง หลายๆ แห่งพระกับชาวบ้านเป็นผู้สร้าง แต่กรมศิลปากรวางท่าเหมือนกับเป็นเจ้าของ แต่ก็ไม่ได้บำรุงรักษาดูแลอะไร
————-
ขอให้ดูภาพพระปรางค์วัดมหาธาตุราชบุรีที่ผมเอาลงประกอบเรื่อง (ภาพชุดนี้ถ่ายเมื่อวานนี้) พระปรางค์แห่งนี้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
ถามว่าต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนองค์ปรางค์ทำไมกรมศิลปากรจึงไม่ไปเอาออก ปล่อยให้รากงอกแทงทำลายองค์ปรางค์อยู่ได้อย่างไร
กรมศิลปากรจะต้องตอบว่า ไม่ใช่หน้าที่ของกรมศิลปากร
ถ้าเช่นนั้นเป็นหน้าที่ใคร แล้วกรมศิลปากรมีหน้าที่อะไร
ถ้าเป็นหน้าที่ของทางวัด และถ้ากรมศิลปากรรักและเป็นห่วงโบราณสถานอย่างแท้จริงก็ควรจะบอกกล่าวเร่งเตือนให้วัดดำเนินการ
หรือว่าเป็นหน้าที่ของนาวาเอกทองย้อยที่จะต้องไปบอกกล่าวกันเอง จะให้กรมศิลปากรไปเที่ยวตามดูโบราณสถานทั่วประเทศได้อย่างไรไหว
————-
ผมว่าเราต้องทบทวนกันใหม่แล้วแหละครับว่า โบราณสถาน-โดยเฉพาะในวัดที่ยังมีชีวิตอยู่ ใครควรจะมีอำนาจและมีหน้าที่แค่ไหนอย่างไร
มอบอำนาจให้ผู้ไม่มีคุณธรรม
เป็นกรรมของแผ่นดิน
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒ ตุลาคม ๒๕๕๘
…………………………….