บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ไทยทิ้งไทย

ไทยทิ้งไทย

————-

มีญาติมิตรท่านหนึ่งแชร์ภาพข้อความมาหน้าบ้านผม 

ข้อความนั้นเขียนว่า –

…………….

สะดุ้งอีกครั้ง เมื่อสักครู่ นักแสดงช่องหลายสี

เชิญชวนชมละคร “เล็บคุด” ที่ตนแสดง

หวั่นใจว่าสักวัน คงต้องจ้างฝรั่งมาสอนภาษาตัวเอง

…………….

ผมเขียนแสดงความคิดเห็นไปว่า –

…………….

ท่านที่กำลังโลดเต้นอยู่ในวงกิจการของเราในขณะนี้น่าจะเป็นรุ่นที่ไม่ได้รับการอบรมบ่มเพาะให้เข้าถึงความงามความละเอียดอ่อนของภาษาไทยในสมัยที่ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่ การละเลยการอบรมบ่มเพาะในช่วงนั้นกำลังผลิดอกออกผลอยู่ในเวลานี้ คงจะแก้ไขอะไรให้ท่านเหล่านี้ไม่ทันเสียแล้ว เพราะปล่อยกันมาจนโตจนแก่ ไม้แก่ดัดยาก

มองไปที่รุ่นหลังต่อๆ กันมา รวมทั้งรุ่นที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเวลานี้ ก็จะเห็นได้ว่าสภาพหรืออาการไม่แตกต่างกัน และอาจจะย่ำแย่ลงไปกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี้ด้วยซ้ำ เพราะภาษาไทยของเด็กรุ่นใหม่ๆ นี้ ทั้งการพูดการเขียน เสื่อมลงไปหมด ภาษาไทยที่ดีเป็นอย่างไรแทบจะไม่รู้จักกันแล้ว ในขณะที่ภาษาสากลก็กำลังท่วมทับท่วมท้นจนโงหัวไม่ขึ้น เป็นช่วงที่กำลังทิ้งภาษาของชาติตนไปเกาะภาษาสากลทั่วไปหมด

ถ้าวาดเป็นภาพ 

ภาษาไทยก็เหมือนคนแก่ข้อเข่าเสื่อมเดินกะโผลกกะเผลก 

ภาษาฝรั่งของพวกเราก็เหมือนเด็กอ่อนเดินเตาะแตะ 

ของเก่าเอาดีก็ไม่ได้ 

ของใหม่เอาได้ก็ไม่ดี

ใครมีสติปัญญาคิดจะแก้ไขอย่างไร ก็ลองพิจารณากันดูเถอะครับ

(จบข้อความที่เป็นความคิดเห็นในที่นั้น)

…………….

เขียนไปแล้ว ผมก็เอามาคิดต่อ

ผมว่าเวลานี้เราทิ้ง-หรือถ้าไม่ถึงกับทิ้งก็ละเลย-อะไรๆ ที่เป็นวัฒนธรรมของไทยกันหนักลงไปเรื่อยๆ

ตามเรื่องนี้ ก็คือทิ้งภาษาไทยของตัวเอง

สมัยผมเป็นเด็ก ผมมองเห็นปัญหาภาษาไทยแค่ ๓ เรื่อง คือ 

๑ ปัญหาอักขรวิธี คือเขียนผิด สะกดการันต์ผิด

๒ ปัญหาการออกเสียง คือพูดผิด อ่านผิด 

๓ ปัญหาใช้คำผิดความหมาย คำนี้ของเดิมท่านใช้ในความหมายนี้ แต่คนไม่รู้เอาไปใช้ในอีกความหมายหนึ่ง (เช่นคำว่า “จำวัด” ที่ผมทักอยู่บ่อยๆ) 

เวลานี้มีปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ระบาดเร็วมาก คือ แบ่งวรรคตอนผิด 

แบ่งกลุ่มคำผิด 

ควรเว้นวรรคแต่ไปเขียนติดกัน 

ควรติดกันแต่ไปเว้นวรรค 

เหมือนตัวอย่างที่ท่านยกขึ้นมาสอนสนุกๆ –

ยานี้กินแล้วแข็ง

แรงไม่มี

โรคภัยเบียดเบียน

(ยานี้กินแล้วแข็งแรง

ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน)

กับอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่เคยเกิดก็มาเกิดขึ้น นั่นคือเวลาอ่านออกเสียงแบ่งจังหวะของคำไม่เป็น 

ยกตัวอย่าง

คำว่า ประชาสัมพันธ์ (ประชา/สัมพันธ์)

เด็กสมัยนี้จะอ่านว่า ประ-ชาสัม- พันธ์ 

คำว่า สำนักงาน (สำนัก/งาน)

เด็กสมัยนี้จะอ่านว่า สำ-นักงาน 

นี่เป็นแค่ตัวอย่าง 

ถ้าประมวลกันจริงๆ แล้ว ปัญหาภาษาไทยมีอีกเป็นกระบุง

——————–

วิถีชีวิตไทย เราก็กำลังทิ้งกันไปทุกวัน 

เช่นผู้หญิงสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการบ้านการเรือนอีกต่อไป 

หุงข้าวต้มแกงทำอย่างไร ไม่จำเป็นต้องรู้ 

เพราะทุกมื้อซื้อกินสะดวกกว่า

กวาดบ้านถูเรือนทำอย่างไร ไม่จำเป็นต้องรู้ 

จ้างบริษัทรับเหมาทำความสะอาดสบายกว่า 

ซักรีดเสื้อผ้าทำอย่างไร ไม่จำเป็นต้องรู้ 

ส่งร้านรับซักรีดสบายกว่า 

เลี้ยงลูกทำอย่างไร ไม่จำเป็นต้องรู้ 

ส่งโรงเรียนอนุบาลสะดวกกว่า รับเลี้ยงเด็กตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไป มีทั่วบ้านทั่วเมือง 

เห็นคุณแม่สมัยนี้อุ้มลูกแล้ว ผมขำ 

แทบจะไม่เหลือร่องรอยแม่ไทยอีกต่อไป 

สมัยก่อนแม่ไทยอุ้มลูกแบบ “เข้าสะเอว”

สมัยนี้ใช้ถุงสะพายแบบฝรั่ง 

อุ้มแบบไทยไม่ดี 

อุ้มแบบฝรั่งดีกว่า 

มีเหตุผลเยอะแยะ 

ป่านนี้คงมีงานวิจัยออกมาแล้ว 

——————–

เด็กไทยรุ่นใหม่นั่งพับเพียบไม่เป็น 

นี่ก็ไทยทิ้งไทยอีกเรื่องหนึ่ง 

เด็กนักเรียนที่ถูกเกณฑ์มาร่วมทำบุญวันพระที่วัดมหาธาตุราชบุรี ทางวัดปูเสื่อไว้ในศาลาหน้าอาสน์สงฆ์ พอมาถึงก็นั่งขัดสมาธิทั้งเด็กหญิงเด็กชาย 

แปลว่าโรงเรียนไม่ได้สอนมารยาทการนั่งในพิธีการ 

ทางบ้านนั้นไม่ต้องพูด ไม่มีบ้านไหนมีเวลาสอนลูกหลานเรื่องมารยาทการนั่งกันอีกแล้ว 

เด็กรุ่นผม นั่งกินข้าววงเดียวกับผู้ใหญ่ ถ้านั่งขัดสมาธิจะโดนดุทันที 

“ยังไม่ได้บวช กินข้าวนั่งขัดตะหมาดไม่ได้” 

คนเก่าท่านมีหลักมีเกณฑ์ 

——————–

ความรักชาติบ้านเมืองแผ่นดินเกิดแผ่นดินอาศัย เราก็เริ่มทิ้งกันแล้ว

ผมวัดเอาจากการที่คนไทยรุ่นใหม่ไม่เห็นความสำคัญของการยืนตรงเคารพธงชาติ/เพลงชาติ ตลอดจนเพลงสรรเสริญพระบารมี

เห็นตำตาตาจึงจำไว้ตำใจ-ทุกเช้าเวลาไปเดินออกกำลัง

(เห็นตำตาตาจึงจำไว้ตำใจ – เป็นวรรคสุดท้ายในกลอนชื่อ “ตำตาตำใจ” ของทวีสุข ทองถาวร)

ที่ซ้ำร้ายก็คือ พอใครแสดงความรักชาติแบบนั้นก็จะมีเสียงประณามหยามเหยียดว่า “ไอ้พวกคลั่งชาติ” 

การแสดงความเคารพธงชาติ/เพลงชาติ ถูกมองว่าเป็นการคลั่งชาติไปแล้ว

นี่ก็คงเป็นดอกผลของการไม่ได้รับการอบรมบ่มเพาะทางภาษา จึงแยกไม่ออกว่า “รักชาติ” กับ “คลั่งชาติ” ต่างกันอย่างไร

สังเกตกันบ้างไหมครับว่า ประมาณ ๒๐ ปีมานี้ เราไม่เคยสอน ไม่เคยพูด ไม่เคยเน้นย้ำให้เด็กไทยรักชาติ รักพระพุทธศาสนา และรักพระมหากษัตริย์กันอีกแล้ว

และเราก็ไม่มีเป้าหมายที่จะอบรมสั่งสอนปลูกฝังเด็กไทยให้มีลักษณะนิสัยหรือคุณสมบัติอะไรที่พึงประสงค์กันอีกแล้ว

เรียกว่า-ปล่อยให้โตกันไปแบบฟรีสไตล์

จะดีจะชั่วอย่างไร-ตามเรื่องของมัน

——————–

และสมบัติไทยที่คนไทยกำลังจะทิ้งเป็นชิ้นสุดท้ายก็คือพระพุทธศาสนา 

ที่ทิ้งไปแล้วจนเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จัก ก็คือวันพระ

ทุกวันนี้คนไทยที่ไม่รู้จักวันพระมีอยู่เต็มแผ่นดิน 

วันสำคัญของชาวมุสลิม คือวันศุกร์ ไปมัสยิด 

วันสำคัญของชาวคริสต์ คือวันอาทิตย์ ไปโบสถ์

วันสำคัญของชาวพุทธ คือวันอะไร ?

ไม่รู้ 

อย่าถาม 

รำคาญ (โว้ย)

พอเราอ้าง ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ วันพระ วันอุโบสถ วันธรรมสวนะ ชาวพุทธควรหยุดงาน ไปวัด 

นักให้เหตุผลที่หลักแหลมก็จะออกมาบอกว่า ความดีทำวันไหนก็ได้ 

คมซะไม่มีหละ!

หมายความว่า ทำไมจะต้องมีวันพระ ความดีทำวันไหนก็ได้ มีวันพระไปทำไม ไม่ต้องมีก็ได้ 

แต่เชื่อได้เลย ท่านเหล่านี้ไม่กล้าไปบอกชาวคริสต์หรอกว่ามีวันอาทิตย์ไปทำไม ไม่ต้องมีวันอาทิตย์ก็ได้ 

ไม่กล้าไปบอกชาวมุสลิมหรอกว่ามีวันศุกร์ไปทำไม ไม่ต้องมีวันศุกร์ก็ได้

ที่น่าคิดมากที่สุดก็คือ เวลานี้เราทำท่าว่ากำลังอพยพพระพุทธศาสนาออกจากเมืองไทยไปไว้ต่างประเทศ เช่นยุโรปอเมริกาเป็นต้นกันเรื่อยๆ แล้ว 

มีคนพูดแล้วว่า พระพุทธศาสนาสูญไปจากเมืองไทยก็ไม่เป็นไร เรามีที่สำรองไว้แล้ว ถึงเวลาก็เพียงแค่อพยพออกไปเท่านั้น 

อารมณ์-ความมุ่งมั่นที่จะรักษาแผ่นดินผืนนี้ให้เป็นแผ่นดินแห่งพระพุทธศาสนา กำลังลดลงไปเรื่อยๆ 

พร้อมกับที่-ความคิดจะทิ้งแผ่นดินไปอยู่ที่อื่นก็ก่อรูปก่อรอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

——————–

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็คือเอาปัญหามาวางไว้ให้ดู-สำหรับคนที่ไม่เคยคิด จะได้สะดุดใจคิด 

แต่ข้อสำคัญอยู่ที่-แล้วเราจะแก้ไขกันอย่างไร 

ผมสรุปได้ว่า วิธีแก้ไขระดับมหภาค คือแก้เป็นระบบรวม ระบบใหญ่ หรือระดับชาตินั้น มืดมน มืดสนิท

เพราะผู้บริหารบ้านเมืองของเราในปัจจุบัน และแม้ในอนาคต (เช่นที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือรอเลือกตั้ง-มาจากการเลือกตั้ง) ไม่เคยมีความคิด-อุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง 

มีอย่างเดียวคือ ตั้งหน้ากอบโกยเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง

ทางแก้ที่ทำได้ทันทีเดี๋ยวนี้ ก็คือแก้ไขระดับจุลภาค นั่นคือแต่ละคนลงมือทำกันไปเลย ไม่ต้องรอกัน และไม่ต้องรอใคร 

เริ่มจากตัวเอง ครองชีวิตให้อยู่ในร่องรอยของวัฒนธรรมไทย-วัฒนธรรมพุทธ 

ไม่ใช่เป็นการแสดงตามเทศกาลแบบ-ออเจ้า 

แต่เป็นชีวิตจริง ประพฤติจริงๆ ในชีวิตประจำวัน 

ต่อจากนั้น ก็ให้ความรู้ ให้ความคิดแก่คนรอบข้าง

พูดได้ พูด

บอกได้ บอก

สอนได้ สอน

ทำได้ ทำ 

ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น 

บรรพบุรุษที่สร้างชาติไทย-วัฒนธรรมไทยมา

บรรพบุรุษที่รักษาแผ่นดินไทย-แผ่นดินพุทธศาสนามา

ท่านจะได้ไม่โทมนัสจนเกินไปว่า ข้าวไทยไม่มียาง 

ไม่มียาง-หมายความว่าไม่อาจจะสร้างสำนึกให้ลูกหลานรักความเป็นไทย และรักษาความเป็นไทยไว้ได้ 

ให้ท่านเห็นว่า-อย่างน้อยก็ยังมีลูกหลานไทยตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่พยายามทำแล้ว ยังทำอยู่ และจะทำต่อไป-ตามความสามารถ 

……………

มีท่านผู้หนึ่งเคยถามผมแบบเสียดสีเย้ยหยันว่า วัฒนธรรมอะไรที่คุณพร่ำเพ้อนั่นกินได้ยังงั้นสิ 

ผมตอบด้วยคาถาที่ท่านอาจารย์แย้มให้มาตั้งแต่สมัยเรียนวิชาแต่งฉันท์กับท่านว่า –

อาหารนิทฺทา  ภยเมถุนญฺจ

สามญฺญเมตปฺปสุภี  นรานํ

ธมฺโมว  เตสํ  อธิโก  วิเสโส

ธมฺเมน  หีนา  ปสุภี  สมานา.

กิน นอน กลัว สืบพันธุ์

มีเสมอกันทั้งคนและสัตว์

วัฒนธรรมทำให้คนประเสริฐเหนือสัตว์

ทิ้งวัฒนธรรม คนก็ต่ำเท่ากับสัตว์

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑

๑๐:๔๔

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *