บาลีวันละคำ

วัปปมงคล (บาลีวันละคำ 2,890)

วัปปมงคล

ไม่คุ้นคำ แต่น่าจะคุ้นพิธี

อ่านว่า วับ-ปะ-มง-คน

ประกอบด้วยคำว่า วัปป + มงคล

(๑) “วัปป

เขียนแบบบาลีเป็น “วปฺป” อ่านว่า วับ-ปะ รากศัพท์มาจาก วปฺ (ธาตุ = ไถ, หว่าน, เพาะปลูก) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณฺ แล้วแปลง เป็น (ณฺย > > )

: วปฺ + ณฺย = วปณฺย > วปฺย > วปฺป แปลตามศัพท์ว่า (1) “การไถ” “การหว่าน” (2) “ที่เป็นที่เพาะปลูก” (ปุงลิงค์; นปุงสกลิงค์) หมายถึง การไถ, การหว่าน; ที่ดินที่พึงหว่านพืช (ploughing, sowing; soil to be sown on)

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

วัปป-, วัปปะ : (คำนาม) การหว่านพืช เช่น พิธีวัปปมงคล; ฝั่งน้ำ. (ป. วป ว่า ผู้หว่านพืช; ส. วปฺร ว่า ฝั่งน้ำ ทุ่งที่หว่านพืชไว้ ทุ่ง).”

(๒) “มงคล

บาลีเป็น “มงฺคล” (มีจุดใต้ งฺ) อ่านว่า มัง-คะ-ละ รากศัพท์มาจาก –

(1) มคิ (ธาตุ = ถึง, ไป, เป็นไป) + อล ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมที่ -(คิ) แล้วแปลงนิคหิตเป็น งฺ (มคิ > มํคิ > มงฺคิ), ลบสระที่สุดธาตุ (มคิ > มค)

: มคิ > มํคิ > มงฺคิ > มงฺค + อล = มงฺคล แปลตามศัพท์ว่า (1) “เหตุให้ถึงความเจริญ” (2) “เหตุเป็นเครื่องถึงความบริสุทธิ์แห่งเหล่าสัตว์

(2) มงฺค (บาป) + ลุ (ธาตุ = ตัด) + ปัจจัย, ลบสระหน้า (คือ อุ ที่ ลุ ที่อยู่หน้า ปัจจัย : ลุ > )

: มงฺค + ลุ = มงฺคลุ > มงฺคล + = มงฺคล แปลตามศัพท์ว่า “เหตุที่ตัดความชั่ว

มงฺคล” (นปุงสกลิงค์) ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) มีฤกษ์งามยามดี, รุ่งเรือง, มีโชคดี, มีมหกรรมหรืองานฉลอง (auspicious, prosperous, lucky, festive)

(2) ลางดี, ศุภมงคล, งานรื่นเริง (good omen, auspices, festivity)

มงฺคล” ตามหลักพระพุทธศาสนาหมายถึง ธรรมที่นำมาซึ่งความสุขความเจริญ

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

มงคล, มงคล– : (คำนาม) เหตุที่นํามาซึ่งความเจริญ เช่น มงคล ๓๘, สิ่งซึ่งถือว่าจะนำสิริและความเจริญมาสู่และป้องกันไม่ให้สิ่งที่เลวร้ายมากล้ำกราย, เรียกงานที่จัดให้มีขึ้นเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข เช่น งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานทำบุญวันเกิด ว่า งานมงคล; เรียกเครื่องรางของขลังที่เชื่อว่าจะนำความสุขความเจริญเป็นต้นมาให้ หรือป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ว่า วัตถุมงคล; สิ่งที่ทำเป็นวงด้วยด้ายเป็นต้นสำหรับสวมศีรษะเพื่อเป็นสิริมงคล นิยมใช้เฉพาะในเวลาชกมวยไทยหรือตีกระบี่กระบอง. (ป., ส.).”

วปฺป + มงฺคล = วปฺปมงฺคล (วับ-ปะ-มัง-คะ-ละ) แปลว่า “การมงคลเกี่ยวกับการเพาะปลูกพืช

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “วปฺปมงฺคล” ว่า ploughing festival (เทศกาลแรกนา, พิธีแรกนา)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของคำว่า “แรกนา” ไว้ว่า –

แรกนา, แรกนาขวัญ : (คำนาม) ชื่อพิธีเริ่มไถนา, ถ้าทําเป็นทางราชการ เรียกว่า พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, แต่โดยทั่วไปมักเรียกว่า พระราชพิธีแรกนา หรือ พระราชพิธีแรกนาขวัญ.”

พิธีแรกนานี่เองที่เรามักเรียกกันว่า “พืชมงคล” อันที่จริง “พืชมงคล” เป็นพิธีสงฆ์ ทำก่อนวันแรกนา ส่วนแรกนาคือพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญอันเป็นพิธีพราหมณ์ คือการลงมือไถนา

การลงมือไถนาหรือ “แรกนา” นี่แหละที่ภาษาบาลีใช้คำว่า “วปฺปมงฺคล

อภิปรายขยายความ :

ธรรมเนียมชาวนาไทย-โดยเฉพาะชาวนาแถบภาคกลางที่ผู้เขียนบาลีวันละคำเคยสัมผัสมาในช่วงหนึ่งของชีวิต-เมื่อถึงฤดูกาลทำนา จะเริ่มต้นด้วยพิธี “แรกนา”

คำว่า “แรก” หมายถึง เริ่มต้น “แรกนา” ก็คือเริ่มต้นทำนาประจำฤดูกาลนั้น

พิธี “แรกนา” ที่ชาวบ้านทำกันเป็นพิธีง่ายๆ คือเลือกวันที่เป็นวันธงชัยหรือวันอธิบดีตามประกาศสงกรานต์ของโหรหลวง เมื่อถึงวันนั้นก็แบกไถจูงวัวไปที่นาแปลงที่จะใช้ทำพิธีแต่เช้า มีกระทงเครื่องเซ่นสังเวยใส่ข้าวสุกและกับข้าวพร้อมทั้งผลไม้ตามแต่หาได้ไปวางไว้ที่คันนา เป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางให้รับรู้ว่าจะเริ่มทำนาประจำปีนี้แล้ว จากนั้นก็ลงมือไถนา โดยไถเป็นวงกลมกลางนาแปลงนั้น 3 รอบ

เสร็จพิธีเพียงเท่านี้

ปกติแล้ววันที่ทำพิธีแรกนาจะยังไม่ลงมือไถนาทำนาจริง ทำเพียงเป็นพิธีเพื่อบอกกล่าวเท่านั้น ต่อวันรุ่งขึ้นจึงจะลงมือไถทำเป็นการเป็นงานจริง

สมัยก่อน การทำนาใช้แรงวัวควายไถนา และมีหลักในการใช้งาน คือไถตั้งแต่เช้ามืดจนถึงเพลก็หยุด ปลดวัวให้พักโดยอาบน้ำให้วัวเนื้อตัวสะอาด หาหญ้าหาฟางให้กินให้อิ่ม และให้พักตลอดวัน จนถึงเช้ามืดวันรุ่งขึ้นจึงเริ่มใช้งานใหม่

วันโกนและวันพระหยุดใช้งาน นี่เองคือที่มาของสำนวนไทยที่ว่า “วันโกนไม่ละวันพระไม่เว้น” ซึ่งหมายถึงการทำอะไรที่ไม่มีเว้นแม้เมื่อถึงเวลาที่ควรหยุดควรเว้น

จะลงมือทำอะไรก็บอกกล่าว “เจ้าที่เจ้าทาง” ก่อน เป็นการแสดงออกถึงความมีสัมมาคารวะ การเลี้ยงดูวัวควายอย่างดีและหยุดใช้แรงงานในวันโกนวันพระ เป็นการสำนึกถึงบุญคุณ นอกจากนี้ยังมีการกระทำในขั้นตอนอื่นๆ เช่นการไหว้แม่โพสพซึ่งถือว่าเป็นเทพธิดาประจำข้าว การให้ความสำคัญแก่เมล็ดข้าว แม้เมื่อหุงเป็นข้าวสุกแล้วก็ไม่เหยียบย่ำ บางคนกินข้าวอิ่มแล้วยกมือไหว้แม่โพสพเป็นการขอบคุณเป็นต้น

เหล่านี้เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ซึ่งเด็กไทยรุ่นหลังนับวันจะไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ จนถึงอาจมองเห็นเป็นความงมงายไร้สาระ เพราะไม่มีประสบการณ์เหมือนคนรุ่นเก่า อีกทั้งขาดการศึกษาสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น

หวังว่าในอนาคต คงไม่ต้องให้ฝรั่งมาสอนวัฒนธรรมการทำนาให้คนไทย

…………..

ดูก่อนภราดา!

การมีสัมมาคารวะและการรู้จักบุญคุณของสิ่งที่อาศัยเลี้ยงชีพ –

: มนุษย์ที่เจริญแล้วเท่านั้นที่รู้จักคิด

: สัตว์เดรัจฉานทุกชนิดคิดไม่เป็น

#บาลีวันละคำ (2,890) 11-5-63

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย