ญาณปริปากํ อาคเมนฺโต
ญาณปริปากํ อาคเมนฺโต
————————–
เด็กรุ่นผมหัดว่ายน้ำกันตามแม่น้ำลำคลองหนองบึงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ อุปกรณ์เครื่องช่วยก็ใช้ของที่หาได้ในพื้นถิ่น เช่นมะพร้าวห้าว ๒ ลูก ฉีกเปลือกเป็นเส้นผูกติดกันทาบไว้ตรงหน้าอกเวลาคว่ำหน้าลงกับน้ำ หรือไม่ก็หยวกทั้งท่อน ใช้เกาะแล้วกระทุ่มน้ำ
คำว่า “หยวก” นี่เด็กไทยรุ่นใหม่คงไม่รู้จักแล้ว
เด็กรุ่นใหม่ว่ายน้ำในสระน้ำที่สร้างขึ้นเพื่อการว่ายน้ำตามโรงแรมหรือสถานประกอบธุรกิจบริการ ใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยที่ผลิตขึ้นเพื่อการฝึกว่ายน้ำโดยเฉพาะ
พอ “เป็นน้ำ” แล้ว ทีนี้ก็เล่นน้ำได้ตามสบาย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรให้รุงรัง
ไม่มีแชมป์ว่ายน้ำคนไหนสวมห่วงยางลงแข่งขัน
แต่แชมป์ว่ายน้ำคนนั้นตอนฝึกว่ายน้ำเมื่ออายุ ๕ ขวบ เขาต้องสวมห่วงยาง
อาจมีเด็กบางคน โดดลงน้ำแล้วว่ายน้ำได้เลยโดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์เครื่องช่วย แต่ที่แน่ๆ ทำแบบนั้นไม่ได้ทุกคน
ผมกำลังจะสื่ออะไร?
—————–
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีคนสร้างพระพุทธปฏิมารูปลักษณ์ต่างๆ ไว้เต็มเมือง ประเทศอื่นๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน
บางประเทศ ผู้คนที่อยู่ในเมืองนั้นในปัจจุบันไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังพบเห็นพระพุทธปฏิมามีอยู่ในสถานที่ต่างๆ เป็นพยานหลักฐานยืนยันว่าแผ่นดินตรงนั้นเคยเป็นถิ่นของผู้นับถือพระพุทธศาสนามาแต่ก่อน
เวลามีกรณีหลบหลู่พระพุทธปฏิมา เช่นขึ้นไปนั่งบนพระอังสา ขึ้นไปเหยียบพระเศียร ทำโถปัสสาวะเป็นพระพักตร์พระพุทธปฏิมา ฯลฯ
ชาวพุทธก็เดือดดาลใจกันมาก
แต่มีท่านจำพวกหนึ่งบอกว่า ถ้าเราไม่สร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมาในโลก เราก็ไม่ต้องมีอะไรให้ใครมาลบหลู่ เป็นความผิดของเราเองที่ไปสร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมา
ท่านบางจำพวกก็อ้างว่า พระศาสดาไม่เคยสอนสาวกให้สร้างรูปเคารพ
แต่คงไม่มีใครเชื่อว่าต้องทำลายล้างพระพุทธปฏิมาให้สูญสิ้นไปจากโลกหมดทุกเศษเสี้ยวส่วนเสียก่อนเราจึงบรรลุพระนิพพานกันได้
……………..
เอาละ มาถึงจุดที่ผมต้องการสื่อแล้ว
พระพุทธปฏิมาก็เหมือนอุปกรณ์เครื่องช่วยว่ายน้ำนั่นแหละ
มนุษย์ไม่ได้หลุดออกมาจากท้องแม่ก็ว่ายน้ำได้เลย หรือเป็นแชมป์ว่ายน้ำทันที หากแต่ต้องอาศัยเครื่องช่วยไปก่อน ฉันใด
ชาวพุทธก็ไม่ได้มีอินทรีย์แก่กล้ามาตั้งแต่เกิด ชนิดเกิดปุ๊บก็ปฏิบัติธรรมบรรลุนิพพานได้ทันที ฉันนั้น
เขาสร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นมาก็เพื่อเป็นสื่อในการเจริญพุทธานุสติ คือระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า หน่วงเหนี่ยวเอาพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ คือเป็นแรงบันดาลใจให้มีอุตสาหะปฏิบัติขัดเกลาตนเองให้รู้ตามบรรลุตาม
ใครมีอินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยพระพุทธปฏิมา
เหมือนคนว่ายน้ำเป็นแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ลูกมะพร้าว ท่อนหยวก หรือห่วงยาง
แต่คนที่เกิดมาก็มีอินทรีย์แก่กล้าได้เอง-เหมือนเด็กที่จับโยนลงน้ำก็ว่ายน้ำได้เอง-จะมีสักกี่คนกันเล่า?
เพราะในหมู่มนุษย์มีอัธยาศัยแตกต่างกันหลายระดับเช่นนี้ จึงจำต้องมีวิธีการหลากหลายเพื่อให้เหมาะแก่ศักยภาพของแต่ละพวกแต่ละคน
ก็เหมือนเราร่วมเดินทางไปด้วยกันนั่นแล ใครแข็งแรงก็เดินได้เร็ว ใครมีกำลังน้อยก็เดินช้า
คนในหมู่ควรจะช่วยกันประคับประคองกันไปเพื่อจะได้รอดกันไปได้ทั้งหมดหรือรอดไปได้มากที่สุด
ไม่ใช่เห็นใครอ่อนแอก็ถีบทิ้งส่งไปเลย
—————–
ในคัมภีร์มีเรื่องพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อวักกลิ (วัก-กะ-ลิ) บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาด้วยเหตุผลที่-เรียกตามคำยอดฮิตก็ว่า-งมงาย ไร้สาระที่สุด นั่นคือ เพื่อจะยลโฉมพระพุทธองค์ได้ทั้งวันทั้งคืน
นี่ถ้าให้นักจิตวิทยาสมัยใหม่วิเคราะห์ ก็คงบอกว่าท่านอาจเป็นพวก homosexual
พระพุทธองค์ก็ทรงทราบดีว่า กุลบุตรผู้นี้ตั้งอารมณ์ไว้ผิด
สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติต่อท่าน ไม่ใช่ตำหนิเหยียดหยามว่า “งมงาย ไร้สาระ”
หากแต่คือ “ญาณปริปากํ อาคเมนฺโต”
อ่านว่า ยา-นะ-ปะ-ริ-ปา-กัง อา-คะ-เมน-โต
แปลตามศัพท์ว่า “ยังความแก่รอบแห่งญาณให้มาอยู่”
แปลแบบนี้ใครที่ไม่ได้เรียนบาลีฟังรู้เรื่องก็เก่งเอาการ
แปลเพื่อการสื่อสารว่า “รอความพร้อม”
เมื่ออยากดู ก็ให้ดูไป ดูให้เต็มที่
พระพุทธองค์ประทับที่ไหน เสด็จไปไหน พระวักกลิตามไปดูทุกที่ เรียกได้ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้
สังฆกิจสังฆกรรมไม่เป็นอันทำกันละ
ลองคิดดูตามประสาเรา พระพุทธองค์ต้องทรงอดทนขนาดไหน-ที่ยอมให้ภิกษุรูปหนึ่งกระทำสิ่งที่ “ไร้สาระ” อยู่ได้เป็นเวลานาน
เมื่อทรงเห็นว่าพระวักกลิพร้อมแล้ว ก็ทรงทำอย่างที่อาจเรียกได้ว่า “หักดิบ” คือทรง “ขับ” หรือไล่ให้ไปให้พ้น วิธีการเช่นนี้ไม่ปรากฏว่าทรงใช้บ่อยนัก
เหตุการณ์ตรงนี้เป็นที่มาของพุทธภาษิตที่ชาวเรานิยมพูดกันอยู่มาก นั่นคือ
โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ.
โย มํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ.
ที่มา: วักกลิสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๗ ข้อ ๒๑๖
แปลความว่า –
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม
สุดท้าย พระวักกลิได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
พระพุทธองค์ทรงยกย่องเป็นเอตทัคคะในทาง “สัทธาธิมุต” (สัด-ทา-ทิ-มุด) แปลให้เข้าใจความว่า-ผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธองค์อย่างที่สุดแล้วบรรลุถึงที่สุดแห่งธรรมได้ด้วยศรัทธานั้นเอง
—————-
ได้ยินว่ากรณีโรค Covid-19 นี่มีผู้ดำริให้ทางราชการจัดพิธีสวดมนต์
แต่มีเสียงตำหนิติเตียนว่า งมงาย ไร้สาระ
ผมเชื่อว่า ผู้คิดจัดพิธีสวดมนต์ไม่ได้อ้างยืนยันเลยว่า สวดมนต์แล้วโรคภัยจะหายไปโดยไม่ต้องทำอะไรอีก
มีแต่ยืนยันว่า โรค Covid-19 จะหายไปได้ด้วยการป้องกันรักษาตามวิธีของแพทย์ ซึ่งทุกคนก็พร้อมใจกันปฏิบัติตามอยู่แล้ว
แต่การจัดพิธีสวดมนต์เป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจวิธีหนึ่ง
เพราะมนุษย์เราไม่ได้มีร่างกายอย่างเดียว แต่มีจิตใจด้วย
พูดให้น่าสงสารก็ว่า-ขอแค่ความสุขทางใจเล็กๆ น้อยๆ
ท่านผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า อาจบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องอาศัยกราบไหว้พระพุทธปฏิมา และอาจไปนิพพานได้โดยไม่ต้องมามัวสวดมนต์
ก็ขออนุโมทนาในความสามารถของท่าน
แต่ขอร้องให้กรุณาทำสิ่งที่เรียก “ญาณปริปากํ อาคเมนฺโต” สักหน่อยหนึ่งเถิด
พิธีสวดมนต์นั้นใช้เวลาไม่นานหรอกครับ
และเมื่อเสร็จพิธีแล้ว เราท่านมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะช่วยกันประคับประคองประดาญาติของเราที่ยังมีอินทรีย์อ่อน ญาณยังไม่แก่กล้า ให้พัฒนาขึ้นไปอีก
ท่านผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า อาจบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องอาศัยกราบไหว้พระพุทธปฏิมา และอาจไปนิพพานได้โดยไม่ต้องมามัวสวดมนต์ ท่านเป็น idol ที่วิเศษอยู่แล้ว ท่านนั่นแหละควรเป็นผู้นำในการช่วยกันยกระดับจิตใจของผู้ที่ยังอ่อนด้อยเหล่านั้น
ตอนนี้ขอเพียง “ญาณปริปากํ อาคเมนฺโต” รอความพร้อมสักหน่อยหนึ่งเท่านั้น
พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นเอกอัครมหาบุรุษของโลกก็ยังทรงมีพระมหากรุณาใช้วิธีนี้นะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๓
๑๓:๔๙
…………………………….