ด่วนมรณะ
ด่วนมรณะ
———-
ญาติมิตรคงเคยได้ยินคำว่า “ยุคมิคสัญญี” กันมาบ้างแล้ว
“มิค” แปลว่า เนื้อ หมายถึงเก้งกวางที่คนชอบล่าเอามาเป็นอาหาร
“สัญญี” แปลว่า “ผู้มีความรู้สึกนึกคิด” หรือ “ผู้เห็นไปว่า-”
“มิคสัญญี” (มิก-คะ-สัน-ยี) แปลว่า “เห็นกันเป็นเนื้อ”
ยุคมิคสัญญี มีความหมายว่า ยุคสมัยที่ผู้คนมีความรู้สึกนึกคิดว่าคนที่ตนพบเห็นนั้นเป็นแค่เก้งกวางที่ควรจะไล่ล่า
ทุกวันนี้ใครไปฆ่าคนตาย มีความผิดทั้งทางกฎหมายและศีลธรรม
แต่ยุคมิคสัญญี คนฆ่าคนไม่มีความผิดด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น
มีค่าเท่ากับยิงเก้งตายไปตัวหนึ่งเท่านั้น
พูดให้เห็นภาพชัดก็ว่า ในยุคมิคสัญญี ฆ่าคนไปคนหนึ่ง คนยุคนั้นจะรู้สึกเหมือนกับตบยุงตายไปตัวหนึ่งในสมัยนี้เท่านั้นเอง
————-
ยุคมิคสัญญี-ฆ่ากันเป็นผักเป็นปลา-นั่นเป็นเพียงหัวขบวน
เรื่องอื่นๆ ก็จะเป็นแบบเดียวกัน
คิดตามกรอบศีล ๕ ก็คือ –
เรื่องลักขโมย กอบโกยโกงกิน
เรื่องสมสู่กัน
เรื่องโกหกปลิ้นปล้อน หลอกลวงต้มตุ๋น หน้าไหว้หลังหลอก
เรื่องเสพติดมัวเมาในสิ่งต่างๆ
เรื่องเหล่านี้มนุษย์ในยุคมิคสัญญีสามารถทำได้แบบไร้ขีดจำกัด
ทำขนาดไหนอย่างไร ก็ไม่มีความผิด
ทำขนาดไหนอย่างไรก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นความผิดความชั่ว
————-
ขออนุญาตบรรยายความพอเป็นนิทัศนอุทาหรณ์ …
สมัยหนึ่ง รถหลวงจะติดข้อความว่า “ใช้ในราชการเท่านั้น”
สมัยนั้นใครเอารถหลวงไปใช้ส่วนตัว จะถูกตำหนิติเตียนจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่ ณ ปัจจุบันวันนี้การเอารถหลวงไปใช้ส่วนตัวเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด
แทบจะไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นเรื่องผิด
ใครไม่ทำสิ ผิดธรรมดา
————-
การทุจริตโกงกินในหมู่ข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจำหรือข้าราชการการเมือง-ในยุคแรกแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยบ้านเรา-ถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง
ณ ปัจจุบันวันนี้ กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว
นักการเมืองโกงกิน-โกงไปตั้งแต่โกงเลือกตั้ง โกงการออกเสียงในสภา หมกเม็ดโครงการต่างๆ เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ที่ควรจะตกแก่แผ่นดินและปวงมหาประชาชนไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ฯลฯ
ณ ปัจจุบันวันนี้ กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว
แทบจะไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นเรื่องผิด
ใครไม่ทำสิ ผิดธรรมดา
เป็นที่มาของเสียงปกป้องคนโกง ในทำนองที่ว่า –
เขาเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง ก็ต้องยอมให้เขาได้กินบ้าง
ที่ไหนๆ มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ
ที่ประเทศนั้นประเทศโน้นก็โกง โกงมากกว่าบ้านเราอีก
เพราะฉะนั้น เรามีสิทธิ์โกงต่อไปโดยชอบธรรม
และไม่มีใครรังเกียจว่าเป็นความผิดความชั่ว
มิหนำซ้ำยังช่วยกันเถียงแทนและปกป้องให้เสียอีก
ผู้คนในสังคมช่วยกันขับเคลื่อนบ้านเมืองมุ่งหน้าสู่ “ยุคมิคสัญญี” อย่างขะมักเขม้น และมีความสุข ด้วยประการฉะนี้
————-
สรุปลักษณะเด่นของยุคมิคสัญญีก็คือ-ทำผิดทำชั่วก็ไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดความชั่ว
ปัญหาที่มักถกเถียงกันว่า-ความดีความชั่วเอาอะไรมาวัด-คนก็ชักจะเอียงไปทางที่ว่า ไม่มีอะไรดีชั่วในตัวมันเอง
ดีชั่วขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคมนั้นๆ
ชั่วในสังคมหนึ่ง อาจเป็นเรื่องธรรมดาหรืออาจเป็นดีในอีกสังคมหนึ่ง
เวลานี้คนแทบจะไม่รู้จักดีชั่วตามสัจธรรม คือดีชั่วชนิดที่-ไม่ว่าใครจะเห็นเป็นอย่างไร สิ่งนั้นก็ดีหรือชั่วอย่างที่มันเป็น ไม่ดีหรือชั่วไปตามความเห็นของใคร
เวลานี้คนเชื่อว่าดีชั่วถูกผิดมีชนิดเดียว คือชนิดที่ขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคม
เพราะนั้น อะไรที่คนนิยมทำกันมากๆ นั่นแหละดี นั่นแหละถูก
(ลองถามตัวเองว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังจะเห็นด้วย ใช่หรือไม่)
————-
อีกสักตัวอย่าง …
สังคมทหารมีระเบียบอยู่ว่า เมื่อแต่งเครื่องแบบออกไปนอกอาคารสถานที่ ต้องสวมหมวก
เรื่องนี้ ผมพูดได้เต็มปาก เพราะเมื่อแรกเข้ารับราชการในกองทัพเรือ ถูกผู้บังคับบัญชากวดขันมาก-มากจนซึมเข้าไปถึงเยื่อในกระดูก!
เท้า-ทันทีที่ก้าวออกนอกอาคาร
มือ-จะจับหมวกสวมโดยอัตโนมัติ
แต่เวลานี้ ใครลองสังเกตดูเถอะ ทหาร-ไม่ว่าเหล่าทัพไหน แต่งเครื่องแบบเดินเปลือยหัวไปได้ทุกถนนหนทาง
กลายเป็น “ท ทหารหมวกหาย” ไปหมดแล้วทั่วทั้งกองทัพ
เชื่อว่าอีกไม่นานกระทรวงกลาโหมจะต้องยกเลิกระเบียบเรื่องนี้
นี่คือ-ทำผิดทำชั่วก็ไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดความชั่ว-เพราะอ้างความนิยมของสังคม
————-
อาการของโรคมิคสัญญี คือ-ทำผิดทำชั่วก็ไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดความชั่ว-นี้ กำลังระบาดไปทุกวงการ
ไม่เว้นแม้แต่ในสังคมสงฆ์
สังคมสงฆ์นั้นมีพระธรรมวินัยกำหนดไว้เป็นกรอบ หรือเป็นกฎ ชัดเจนว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ หรืออะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
ขออนุญาตแวะเข้าวัด
กฎของสงฆ์มี ๒ ส่วน คือ
๑ กฎอาทิพรหมจรรย์ คือส่วนที่-ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็เป็นพระอยู่ไม่ได้ หรือไม่ควรจะเป็นพระอยู่อีกต่อไป
๒ กฎอภิสมาจาร คือส่วนที่-ไม่ปฏิบัติตามก็ยังเป็นพระอยู่ได้ เพียงแต่ว่า-
ถ้าปฏิบัติก็เป็นพระงาม
ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็เป็นพระทราม
ตามปกติ กฎอาทิพรหมจรรย์พระสงฆ์ท่านจะถือปฏิบัติอย่างเข้มงวด
โปรดทราบไว้เป็นความรู้ว่า การสวดพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน เจตนารมณ์ก็เพื่อทบทวนกวดขันกฎส่วนนี้นั่นเอง
ทุกวันนี้กฎทั้ง ๒ ส่วนนี้กะพร่องกะแพร่งลงไปเป็นอันมาก
การครองชีวิตของพระกำลังจะใกล้เคียง-หรือแทบจะไม่ต่างไปจากชาวบ้านเข้าไปทุกที
เป็นที่มาของเสียงปรารภของชาวบ้านว่า
ทำไมพระทำอย่างนั้น
พระทำอย่างนั้นได้หรือ
ฯลฯ
ในขณะที่ในหมู่พระสงฆ์ด้วยกันก็กำลังพยายามหาคำอธิบายมารองรับว่า การกระทำโน่นนี่นั่นอย่างที่ญาติโยมบ่นว่านั้นไม่เห็นจะเป็นความผิดความชั่วที่ตรงไหนเลย
ซึ่งก็คือ-ทำผิดทำชั่วก็ไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดความชั่ว-อันเป็นลักษณะเด่นของยุคมิคสัญญีนั่นเอง
————-
ยุคมิคสัญญี คือยุคแห่งความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมนั้นมาถึงแน่
ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นปรารภสู่กันฟัง มิใช่เพื่อจะให้ช่วยกันคิดแก้ไข
เพราะทำอย่างไรก็ห้ามไม่ฟัง รั้งไม่หยุดอยู่แล้ว
เพียงแต่อยากให้ช่วยกันรู้ทันเอาไว้
เหมือนกับนั่งไปในรถไฟขบวนเดียวกัน
และเรารู้แน่แล้วว่าปลายทางของรถไฟขบวนนี้คือหุบเหว
จะทำอะไร จะรักษาชีวิตกันอย่างไร ก็รีบๆ คิดอ่านกันเข้าเถิด
รถขบวนนี้หยุดไม่ได้นะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
…………
โพสต์ซ้ำ: ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๒
๑๐:๕๘
…………………………….