บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร

ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑๗]

ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑๗]

—————————–

ตอนที่ ๑๐ – มีปัญหาพระศาสนาควรมุ่งหน้าไปไหน

———

น่าประหลาดที่เมื่อเกิดปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของพระภิกษุสามเณร ทำไมเราจึงโยนปัญหาไปให้ใครคนใดคนหนึ่งวินิจฉัย?

อย่างกรณีพระเดินตามเสลี่ยง-โยนมาให้ทองย้อยวินิจฉัย

ทองย้อยเป็นใคร ทองย้อยเป็นเพียงอุบาสกคนหนึ่ง มีสถานะเท่ากับอุบาสกอุบาสิกาทั่วไป และไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะในองค์กรใดๆ ทางศาสนา 

ข้อมูลเล็กๆ ส่วนตัวที่พอจะนับว่าเป็น “หน้าที่” ได้บ้างโดยอนุโลมก็มีเฉพาะทำบุญวันพระที่วัดมหาธาตุ ราชบุรี วันพระไหนทองย้อยไปทำบุญ พระเดชพระคุณท่านเจ้าอาวาสท่านก็อนุญาตให้ทำหน้าที่มรรคนายก คือผู้นำไหว้พระ สมาทานศีล และถวายภัตตาหารให้เป็นของสงฆ์-เพียงเท่านั้น

แม้ทองย้อยจะแสดงตัวว่าเป็นผู้เอาใจใส่ในกิจของพระศาสนา เช่นศึกษาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภาษาบาลีและหลักพระธรรมวินัยอยู่เนืองๆ ก็ไม่ได้แปลว่าทองย้อยแต่ผู้เดียวที่ทำเช่นนั้นได้ และเพราะดังนั้นทองย้อยจึงต้องรับผิดชอบในการวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นแต่เพียงผู้เดียว

อันที่จริง การศึกษาและเผยแผ่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภาษาบาลีและหลักพระธรรมวินัยย่อมเป็น “ธุระ” โดยตรงของผู้ที่บวชเข้ามาในพระศาสนา โดยนัยที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๑ เรื่องจักขุปาลเถระว่า —

……………………..

พระจักขุปาละเมื่ออุปสมบทแล้วได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า ในพระศาสนานี้มีธุระกี่อย่าง? 

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ธุระมี ๒ อย่างเท่านั้น คือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ 

มีคำขยายความว่า การเรียนนิกายหนึ่งก็ดี สองนิกายก็ดี จบพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกก็ดี ตามสมควรแก่ปัญญาของตน แล้วทรงจำไว้และบอกกล่าวสั่งสอนต่อๆ กันไป นี้ชื่อว่าคันถธุระ 

การที่ภิกษุประพฤติตนเป็นผู้เบาพร้อม คือไม่หมกมุ่นมัวเมาอยู่ในความเพลิดเพลินใดๆ ประกอบด้วยความยินดียิ่งความสงบสงัด แล้วพิจารณาความเกิดดับอันเป็นไปในชีวิตยกขึ้นสู่วิปัสสนา อบรมให้เห็นประจักษ์แจ้งจริงเพิ่มขึ้นโดยไม่ขาดตอน กระทั่งบรรลุอริยภูมิมีพระอรหัตผลเป็นที่สุด นี้ชื่อว่าวิปัสสนาธุระ

……………………..

นี่คือธุระหรือหน้าที่โดยตรงของผู้ที่บวชเข้ามาในพระศาสนา

อนึ่ง การศึกษาพระธรรมวินัย ถ้าจับหลักถูกก็จะไม่หลงทาง

ในพระธรรมวินัยนั้นมีหลักสั้นๆ ว่า ใครเป็นอะไรก็ตามต้องรู้และปฏิบัติตามใน ๒ เรื่องเท่านั้น คือ –

๑ เรื่องที่ห้ามทำ และ –

๒ เรื่องที่ต้องทำ 

หลักมีเท่านี้

ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เราพบเห็นอยู่ทุกวันนี้เกิดมาจาก ๒ เรื่องนี้ 

เป็นบรรพชิต ไม่ทำเรื่องที่ต้องทำ (เช่นไม่ศึกษาพระธรรมวินัย) แต่ไพล่ไปทำเรื่องที่ห้ามทำเข้า 

เป็นอุบาสกอุบาสิกา ไม่รู้ว่าคุณสมบัติของอุบาสกอุบาสิกาคืออะไร แต่ไพล่ไปทำเรื่องที่ผิดหลักของอุบาสกอุบาสิกาเข้า

ถ้าชาวเราอุบาสกอุบาสิกาพัฒนาตนให้มีคุณสมบัติครบถ้วน เราก็ควรจะมีความสามารถพอสมควรในการพิจารณาปัญหาความประพฤติของพระภิกษุสามเณรได้ด้วยตนเอง 

และถ้าหากรู้สึกว่าเหลือสติปัญญา ผู้ที่มีหน้าที่อธิบายไขข้อสงสัยให้เราก็ควรเป็นพระภิกษุสามเณรผู้มีหน้าที่โดยตรงในการศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่พระธรรมวินัย 

แต่คำอธิบายของพระภิกษุสามเณรก็อาจจะยังไม่มีน้ำหนัก อาจถูกมองได้ว่าเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ดังนั้น ถ้าจะให้เป็นหลักเป็นฐานและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ผู้ที่ควรทำหน้าที่ตอบข้อสงสัยทั้งปวงอันเกี่ยวกับพระศาสนาก็ต้องเป็นคณะสงฆ์ 

ถ้าระบุให้ชัดลงไปก็คือ มหาเถรสมาคม รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมการศาสนา

มีปัญหาข้อสงสัยอะไรควรมุ่งหน้าไปที่โน่น

ไม่ใช่มุ่งไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง-เช่นมุ่งหน้ามาที่ทองย้อย

ในฐานะตัวบุคคล แม้ทองย้อยจะตอบได้ดีแค่ไหนก็ไม่มีน้ำหนักอะไร

แค่มีใครเปรยขึ้นว่า-ก็เป็นแค่ความเห็นของทองย้อย-เท่านี้ก็จอดแล้ว

ตรงจุดนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องปรับทัศนคติกันใหม่เป็นการใหญ่ นั่นคือ มีปัญหาข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับพระศาสนา ขอให้เราช่วยกันแบกปัญหาไปส่งให้มหาเถรสมาคม มุ่งหน้าไปที่นั่นจุดเดียว ไม่ต้องไปที่อื่น

ทุกเรื่องเอาไป “ประเคน” ถวายให้มหาเถรสมาคมวินิจฉัย เพราะเป็นหน้าที่ของท่านโดยตรง 

ญาติมิตรที่ติดตามผมมาย่อมจะระลึกได้ว่า ผมได้เพียรพยายามเสนอไปยังผู้บริหารการพระศาสนา-ซึ่งก็คือคณะสงฆ์หรือมหาเถรสมาคม-มาตลอด ว่าขอให้จัดตั้งกองวิชาการพระพุทธศาสนา (หรือจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม) ระดมผู้ทรงคุณวุฒิทางพระศาสนามาทำงานศึกษาสืบสวนหลักพระธรรมวินัยในข้อที่ยังเข้าใจไม่ตรงกัน หรือที่ยังปฏิบัติลักลั่นกัน หรือที่เป็นปัญหาว่าทำอย่างนั้นได้หรือไม่ได้ ใช่หรือไม่ใช่ ผิดหรือไม่ผิด-แล้วประกาศออกมาเป็นมติของคณะสงฆ์ไทยว่า เรื่องนี้เรื่องนั้นคณะสงฆ์ไทยตกลงพร้อมใจกันให้ทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างโน้น แล้วพร้อมใจกันปฏิบัติให้ตรงกันเป็นเอกภาพทั่วสังฆมณฑล 

ทำได้อย่างนี้ก็จะเกิดความเรียบร้อยดีงาม เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาเลื่อมใสของสาธุชน

ทรัพยากรที่จะใช้เพื่อทำงานเช่นนี้มีอยู่พร้อม 

คนก็มี 

สถานที่ก็มี 

อุปกรณ์เครื่องใช้ก็มี 

เงินก็มี 

ญาติโยมที่พร้อมจะสนับสนุนก็มี 

แต่น่าเสียดายที่มหาเถรสมาคมท่านใช้วิธีเฉย ไม่รับไม่รู้ ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น 

เหมือนกับว่าท่านพอใจที่จะให้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเข้าใจ ต่างคนต่างทำกันไปตามสบาย ผิดถูกไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องศึกษาตรวจสอบ

ทั้งๆ ที่หลักพระธรรมวินัยก็บอกไว้ชัดๆ ว่า ให้ร่วมกันคิดให้ร่วมกันศึกษา —

……………….

ตตฺถ สพฺเพเหว สมคฺเคหิ สมฺโมทมาเนหิ อวิวทมาเนหิ สิกฺขิตพฺพํ.

แปลความว่า- ในเรื่องนั้น ทั้งหมดต้องพร้อมใจกันร่วมใจกันศึกษาเรียนรู้อย่าให้ขัดแย้งกัน

……………….

ถ้ามหาเถรสมาคมมีกองวิชาการพระพุทธศาสนา ทุกปัญหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่คาใจสังคมก็จะมีหน่วยงานทำหน้าที่ศึกษาค้นคว้าหลักพระธรรมวินัย ศึกษาสอบสวนทบทวนให้ถ้วนทั่วแล้วประกาศเป็นมติคณะสงฆ์ออกมาว่าผิดถูกเป็นอย่างไร อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ให้วัดต่างๆ และพระภิกษุสามเณรปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันทั่วสังฆมณฑล – เท่านี้ก็เรียบร้อย 

เอาประกาศมหาเถรสมาคมเป็นหลัก

โดยมหาเถรสมาคมก็ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก 

ทำไมเราไม่ช่วยกันทำอย่างที่ว่านี้?

เพราะฉะนั้น แทนที่จะมาเคี่ยวเข็ญคาดคั้นให้ใครคนใดคนหนึ่งวินิจฉัย ก็ควรจะพร้อมใจกันไปเคี่ยวเข็ญคาดคั้นมหาเถรสมาคมให้ท่านเร่งตั้งหน่วยงานขึ้นมาทำงานนี้-คืองานวินิจฉัยปัญหาคาใจของชาวบ้านเกี่ยวกับพระศาสนา 

ถ้ามหาเถรสมาคมมีหน่วยงานเช่นว่านี้อยู่แล้วก็ยิ่งดีใหญ่ เราก็ไปช่วยกันกระตุ้นเตือนคาดคั้นเคี่ยวเข็ญหน่วยงานนั้นให้ลงมือทำงานกันเสียที

ทำแบบนั้นสิครับท่าน จึงจะเกาถูกที่คัน 

เอาปัญหามาโยนให้ผม ผมทำได้อย่างดีก็แค่แสดงความเห็นสู่กันฟัง 

แต่จะไม่มีใครฟัง 

ยิ่งถ้าถึงขั้นวินิจฉัยถูกผิดด้วยแล้ว จะกลายเป็นเรื่องตลก

อุปมาเหมือนมีคดีความเกิดขึ้น 

ถ้าจะขอความเห็นกันก็อาจคุยกันรอบนอกได้สนุกๆ

แต่ถูกผิดต้องให้ศาลตัดสิน

และศาลท่านไม่ได้ตัดสินตามความเห็นของบุคคลใดๆ

ท่านตัดสินตามหลักกฎหมาย

ปัญหาเกี่ยวกับพระศาสนาก็เช่นกัน กองวิชาการคณะสงฆ์หรือคณะทำงานของคณะสงฆ์ (ถ้ามี) จะวินิจฉัยตัดสินเรื่องใดๆ ท่านจะตัดสินตามความเห็นของบุคคลใดๆ ไม่ได้ ต้องวินิจฉัยตัดสินไปตามหลักอันมีพระธรรมวินัยเป็นต้นเป็นประธาน 

…………….

เท่าที่ผ่านมา ผมยังไม่ได้ยินว่ามีใครเรียกร้องให้มหาเถรสมาคมตั้งกองวิชาการคณะสงฆ์หรือคณะทำงานขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบวินิจฉัยปัญหาคาใจชาวบ้านเกี่ยวกับพระศาสนา เช่นความประพฤติของพระภิกษุสามเณรเป็นต้น 

มีแต่ผมตะโกนโหวกเหวกเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว 

ถ้าใครหวังดีต่อพระศาสนาอย่างจริงจังจริงใจ ขอร้อง ขอแรง ขอเชิญให้ช่วยกันกระทุ้งกระแทกกระทั้นกระทบให้มหาเถรสมาคมกระเทือนแล้วตื่นขึ้นมาทำงานปกป้องพระพุทธศาสนาตามหน้าที่ของท่านกันให้มากๆ เทอญ

……………

(มีต่อ)

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓

๑๖:๒๗

………………………………..

ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑๖] 

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

………………………………..

ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑๘] (จบ)

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *