ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๖]
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๖]
—————————–
ตอนที่ ๒ – ศึกษาหลักการให้เข้าใจชัด
———
สมมุติว่า บัดนี้เราได้ข้อมูลข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นๆ ถูกต้องครบถ้วนหรือมากพอแก่ความต้องการแล้ว หน้าที่ต่อไปของผู้วินิจฉัยก็คือ ศึกษาหาความรู้ใน “หลักการ” ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
กรณีที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติของพระภิกษุสามเณรและพฤติการณ์พฤติกรรมทั่วไปเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หรือสรุปว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หน้าที่ของผู้จะวินิจฉัยก็คือศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัยอันว่าด้วยกรณีนั้นๆ ให้เข้าใจถ่องแท้
ข้อจำกัด หรือข้อด้อย หรือจุดอ่อนของชาวเราในทุกวันนี้ก็คือ-ไม่มีความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องนั้นๆ
สาเหตุที่ไม่มีความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องนั้นๆ ก็เพราะไม่ได้ศึกษาเรียนรู้
และสาเหตุที่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ ก็เพราะขาดความอุตสาหะ พร้อมทั้งอ้างเหตุผลสารพัดซึ่งล้วนแต่เป็นเหตุผลภายนอก
ที่ได้ยินอยู่เป็นประจำก็อย่างเช่น –
พระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี อ่านไม่ออก
แม้แปลเป็นภาษาไทยก็อ่านไม่รู้เรื่อง
มันน่าจะแปลให้เป็นภาษาที่ชาวบ้านเขาอ่านรู้เรื่อง
พระเทศน์บาลีคำไทยคำฟังไม่รู้เรื่อง ยืดยาดน่าเบื่อหน่าย
พระสวดเป็นภาษาบาลีฟังไม่รู้เรื่อง
ฯลฯ
แต่เหตุผลภายใน-ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด-คือตัวเองไม่มีวิริยะอุตสาหะในการศึกษาเรียนรู้ กลับไม่ยกขึ้นมาอ้าง กลับมองไม่เห็น
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้แปลว่า เมื่อโทษความไม่มีอุตสาหะแล้ว ข้างฝ่ายผู้รู้ผู้รับผิดชอบการพระศาสนาก็ไม่ต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรเลย
นั่นคือ-ก็ต้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไขด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ในเรื่องนั้นๆ
สมัยเมื่อผมเริ่มศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนา จะอ่านพระสูตรสักเรื่องในพระไตรปิฎก ต้อง “ถ่อ” ไปที่วัด กว่าจะเปิดตู้พระไตรปิฎกได้แต่ละทียากเย็นแสนเข็ญ
สมัยนี้นั่งกระดิกขาอยู่ที่บ้านเปิดอ่านได้จากเน็ต
ไปอยู่ที่มุมไหนของโลก ไม่ต้องหอบคัมภีร์ไป เปิดโทรศัพท์อ่านได้หมด
จะค้นหาเรื่องอะไร คำอะไร ค้นเจอได้ในคลิกเดียว
เข้าถึงแหล่งมูลก็แสนง่าย
ตรวจสอบความถูกต้องก็สามารถทำได้ไม่ยาก –
ทั้งจากเครื่องมือและจากตัวบุคคล
คนที่รู้บาลีในเมืองไทยไม่ได้มีทองย้อยคนเดียว
เพราะฉะนั้น ขอร้องว่าโปรดอย่าอ้างว่าไม่มีเวลา ต้องทำมาหากิน หรืออ้างว่าไม่มีพื้นฐาน ไม่รู้จะตั้งต้นอย่างไร
ไม่มีใครมีพื้นฐานมาตั้งแต่เกิด ล้วนแต่มาเรียนรู้และมาต่อยอดกันในชาตินี้ทั้งนั้น
ทองย้อยไม่ได้รู้เรื่องพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิด เป็นคนมีสติปัญญาปานกลางค่อนไปข้างทึบ ความรู้ที่พอมีอยู่บ้าง ณ วันนี้ล้วนได้มาจากความขวนขวายอ่านค้น มีคำแนะนำสั่งสอนของครูบาอาจารย์เป็นพื้นฐาน มีความอุตสาหะวิริยะฉันทะของตัวเองเป็นส่วนสนับสนุนต่อยอด และยังต้องศึกษาอ่านค้นอยู่ทุกวัน ไม่เคยคิดว่าตัวเองรู้จบแล้ว ตรงกันข้าม รู้ตระหนักว่ารู้นิดเดียว ยังอยู่ในฐานะ “โสตุ” คือนักศึกษา และคงเป็นนักศึกษาต่อไปและตลอดไป
ถ้าทองย้อยคนธรรมดาทำได้ คนอื่นๆ ที่มีสติปัญญาพอๆ กันหรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งมีอยู่อีกเป็นอเนกอนันต์ ทำไมจะทำไม่ได้
ปัญหาอยู่ที่ว่า-ทำไมจึงไม่ทำ
ยิ่งเป็นพระภิกษุสามเณรด้วยแล้ว เป็นหน้าที่โดยตรงทีเดียวที่จะต้องศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัย และตอบข้อข้องใจของชาวบ้าน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า-อาตมาเองก็ไม่รู้
ก็เพราะไม่รู้นั่นแหละ ยิ่งจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าเพื่อให้รู้
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วง-พระภิกษุสามเณรไม่ขวนขวายศึกษาพระธรรมวินัย แต่ไปขวนขวายศึกษาอย่างอื่น หรือแม้ศึกษาพระธรรมวินัยตามหลักสูตร ก็ศึกษาด้วยวัตถุประสงค์อื่น ไม่ใช่มุ่งเอาพระธรรมวินัยมาปฏิบัติขัดเกลาตนเองในชีวิตประจำวัน
เดี๋ยวนี้ได้ยินอ้างว่า – ชีวิตประจำวันจะปฏิบัติพระธรรมวินัยหรือไม่ปฏิบัติเป็น “สิทธิส่วนบุคคล”
น่ากลัวนะครับ
ผมบอกเสมอว่า พระเณรจะเรียนอะไรผมไม่ขัดข้องโต้แย้งหรือขวางทาง ขออย่างเดียว ขอให้เรียนพระธรรมวินัยเป็นวิชาแกน และรักษาวิถีชีวิตสงฆ์ไว้ให้มั่นคง
ผมออกหน้ารับและโต้เถียงแทนมาตลอดว่า พระเณรเรียน มจร. มมร. ควรแก่การอนุโมทนา เพราะท่านต้องออกแรง ๒ เท่า
“ปริญญาก็ต้องเอาให้ได้
พระธรรมวินัยก็ต้องรักษาให้มั่นคง”
ฐานที่ตั้งแห่งศรัทธาอยู่ตรงนี้ ในขณะที่ชาวโลกเขาเหนื่อยด้านเดียว คือแค่เรียนให้จบ ชีวิตประจำวันจะอีลุ่ยฉุยแฉกอย่างไรไม่มีใครว่า เป็นสิทธิส่วนบุคคล ตัวใครตัวมัน
แต่พระภิกษุสามเณรทำอย่างนั้นไม่ได้
ศึกษาพระธรรมวินัยเป็นหลัก รักษาวิถีชีวิตสงฆ์ไว้ได้มั่นคง – นอกจากจะเป็นการรักษาพระศาสนาและปกป้องตัวเองแล้ว นี่คือการปิดปากกลุ่มคนที่คอยจ้องถล่มพระเณรที่เรียน มจร. มมร.
ถ้าพระเณรที่เรียน มจร. มมร. ทำแบบชาวโลก ก็สิ้นศักดิ์ศรีทันที
ไม่ใช่แค่ทำลายตัวเอง
แต่ยังทำร้ายพระศาสนาอีกด้วย
……………
(มีต่อ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓
๑๑:๒๘
………………………………..
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๕]
………………………………..
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๗]