วิญญาณัญจายตนะ (บาลีวันละคำ 3,531)
วิญญาณัญจายตนะ
อรูปพรหมชั้นที่สอง
อ่านว่า วิน-ยา-นัน-จา-ยะ-ตะ-นะ
“วิญญาณัญจายตนะ” เขียนแบบบาลีเป็น “วิญฺญาณญฺจายตน” อ่านว่า วิน-ยา-นัน-จา-ยะ-ตะ-นะ แยกศัพท์เป็น วิญฺญาณญฺจ + อายตน
(๑) “วิญฺญาณญฺจ”
อ่านว่า วิน-ยา-นัน-จะ รูปศัพท์เดิมคือ วิญฺญาณ + อนนฺต
(ก) “วิญฺญาณ” อ่านว่า วิน-ยา-นะ รากศัพท์มาจาก วิ (คำอุปสรรค = วิเศษ, แจ้ง, ต่าง) + ญา (ธาตุ = รู้) + ยุ ปัจจัย, ซ้อน ญฺ ระหว่างอุปสรรคกับธาตุ (วิ + ญฺ + ญา), แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ) แปลง น เป็น ณ
: วิ + ญ + ญา = วิญฺญา + ยุ > อน = วิญฺญาน > วิญฺญาณ แปลตามศัพท์ว่า “ความรู้แจ้ง”
หนังสือ ศัพท์วิเคราะห์ ของ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต) บอกความหมายของ “วิญฺญาณ” ว่า วิญญาณ, จิต, ความรู้แจ้ง
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกว่า “วิญฺญาณ” เป็นคำพิเศษในพุทธอภิปรัชญา (as special term in Buddhist metaphysics) และบอกความหมายของ “วิญฺญาณ” ไว้ดังต่อไปนี้ –
(1) a mental quality as a constituent of individuality (ลักษณะทางจิตใจอันเป็นองค์ประกอบของการเป็นคน)
(2) the bearer of [individual] life (ผู้ทรงชีวิต)
(3) life-force [as extending also over rebirths] (กำลังของชีวิต [ซึ่งแผ่ขยายออกไปถึงการเกิดใหม่ด้วย])
(4) principle of conscious life (หลักของชีวิตที่ยังไม่ดับ)
(5) general consciousness [as function of mind and matter] (ความรู้สึกโดยทั่วๆ ไป [ในฐานเป็นหน้าที่ของใจและกาย])
(6) regenerative force (พลังซึ่งให้ชีวิตใหม่)
(7) animation (การทำให้มีชีวิต)
(8 ) mind as transmigrant, as transforming [according to individual kamma] one individual life [after death] into the next (ใจ ในฐานเป็นธรรมชาติที่ย้ายที่ได้ และเปลี่ยนแปลงชีวิต [หลังตาย] ไปสู่ชีวิตอนาคต [ตามกรรมเฉพาะตัว])
หมายเหตุ :
เราฟังที่ฝรั่งแปลไว้เป็นการศึกษา แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือเห็นด้วยกับความหมายที่ฝรั่งบอกไว้ทุกอย่างไป
บาลี “วิญฺญาณ” ในภาษาไทยใช้ทับศัพท์เป็น “วิญญาณ”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกความหมายของคำว่า “วิญญาณ” ไว้ดังนี้ –
…………..
วิญญาณ : ความรู้แจ้งอารมณ์, จิต, ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายในและอายตนะภายนอกกระทบกัน เช่นรู้อารมณ์ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตาเป็นต้น ได้แก่ การเห็น การได้ยินเป็นอาทิ; วิญญาณ ๖ คือ ๑. จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา (เห็น) ๒. โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู (ได้ยิน) ๓. ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก (ได้กลิ่น) ๔. ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น (รู้รส) ๕. กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย (รู้สิ่งต้องกาย) ๖. มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ (รู้เรื่องในใจ)
…………..
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –
“วิญญาณ : (คำนาม) สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่; ความรับรู้ เช่น จักษุวิญญาณ คือ ความรับรู้ทางตา โสตวิญญาณ คือ ความรับรู้ทางหู เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ; โดยปริยายหมายถึงจิตใจ เช่น มีวิญญาณนักสู้ มีวิญญาณศิลปิน. (ป.; ส. วิชฺญาน).”
ข้อสังเกต :
คำว่า “วิญฺญาณ – วิญญาณ” นี้ ไม่มีปัญหาในการเขียนหรืออ่าน แต่มีปัญหาในทางความเข้าใจ
พจนานุกรมฯ บอกไว้ว่า “วิญญาณ” คือ สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่
ตามหลักพุทธศาสนาเถรวาท วิญญาณที่อยู่ในกายเมื่อมีชีวิต ก็คือความรับรู้อารมณ์ คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งที่กระทบกาย (เช่น เย็นร้อนอ่อนแข็งเป็นต้น) และรู้เรื่องที่ใจนึกคิด
และพระพุทธศาสนาเถรวาทไม่ได้สอนว่า เมื่อตาย วิญญาณจะออกจากร่างล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ แต่บอกว่า เมื่อจุติจิตเกิดแล้วดับไป (คือตาย) ถ้ายังมีกิเลสอยู่ จุติจิตจะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดติดต่อกันไปทันที (คือเกิดใหม่)
เมื่อพูดว่า “วิญญาณ” เราจะแปลเป็นอังกฤษว่า soul และพอเห็นคำว่า soul ก็จะแปลกันว่า “วิญญาณ”
แต่ฝรั่งที่ทำพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ไม่ได้แปล “วิญญาณ” ว่า soul และไม่ได้แปล soul เป็นบาลีว่า “วิญฺญาณ”
(ข) “อนนฺต” อ่านว่า อะ-นัน-ตะ ประสมขึ้นจากคำว่า น (ไม่, ไม่ใช่) + อนฺต
(1) “อนฺต” (อัน-ตะ) รากศัพท์มาจาก อมฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + ต (ตะ) ปัจจัย, แปลง มฺ ที่สุดธาตุเป็น นฺ (อมฺ > อนฺ)
: อมฺ + ต = อมฺต > อนฺต แปลตามศัพท์ว่า “ถึงที่สุด”
“อนฺต” ตามคำแปลนี้หมายถึง :
1) ที่สุด, สำเร็จ, ที่หมาย (end, finish, goal)
2) เขต, ชาย, ริม (limit, border, edge)
3) ข้าง (side)
4) ด้านตรงกันข้าม, ตรงกันข้าม, ตำแหน่งตรงกัน (opposite side, opposite, counterpart)
(2) น + อนฺต แปลง น เป็น อน ตามกฎการประสมของ น + กล่าวคือ :
– ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แปลง น เป็น อ–
– ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยสระ (อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ) แปลง น เป็น อน–
ในที่นี้ “อนฺต” ขึ้นต้นด้วยสระ คือ อ– จึงต้องแปลง น เป็น อน
: น > อน + อนฺต = อนนฺต แปลตามศัพท์ว่า “ไม่มีที่สุด” หมายถึง หาที่สุดมิได้, ไม่จบสิ้น, ไม่มีขอบเขต (endless, infinite, boundless)
ตามศัพท์ อนนฺต ไม่ได้แปลว่า “มากล้น” แต่สิ่งใด “ไม่มีที่สุด” สิ่งนั้นย่อมส่อนัยว่า มากมาย มากเหลือล้นนั่นเอง
บาลี “อนนฺต” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อนันต” “อนันต์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อนันต-, อนันต์ : (คำวิเศษณ์) ไม่มีสิ้นสุด, มากล้น, เช่น อนันตคุณ คุณอนันต์. (ป.).”
: วิญฺญาณ + อนนฺต = วิญฺญาณานนฺต (วิน-ยา-นา-นัน-ตะ) แปลว่า “วิญญาณไม่มีที่สุด”
แปลง “วิญฺญาณานนฺต” เป็น “วิญฺญาณญฺจ”
ทำไม “วิญฺญาณานนฺต” จึงไม่เป็น “วิญฺญาณานญฺจ”?
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ภาค 2 (อารุปฺปนิทฺเทส) หน้า 143 ชี้แจงไว้ดังนี้ –
…………..
นาสฺส อนฺโตติ อนนฺตํ ฯ
ที่สุดแห่งวิญญาณนั้นไม่มี เหตุนั้น วิญญาณนั้นจึงชื่อ อนันตะ
อนนฺตเมว อานญฺจํ ฯ
(คำว่า) “อนันตะ” นั่นแหละ แปลงรูปคำเป็น “อานัญจะ”
วิญฺญาณํ อานญฺจํ วิญฺญาณานญฺจนฺติ อวตฺวา …
วิญญาณเป็นอานัญจะ แต่ท่านไม่พูดว่า “วิญญาณานัญจะ”
(วิญฺญาณ + อานญฺจ = วิญฺญาณานญฺจ)
วิญฺญาณญฺจนฺติ วุตฺตํ ฯ
… ท่านกลับพูดว่า “วิญญาณัญจะ” ไปเสีย
(จาก วิญญาณานัญจะ เป็น วิญญาณัญจะ)
อยํ เหตฺถ รุฬฺหิสทฺโท ฯ
นี่เป็นความขยายตัวของภาษาที่ใช้ในความหมายนี้
…………..
สรุปว่า เมื่อท่านควรจะพูดว่า “วิญฺญาณานญฺจ” แต่หาได้ออกเสียงเช่นนั้นไม่ กลับพูดเป็น “วิญฺญาณญฺจ” แต่ความหมายคงเดิม
: วิญฺญาณานนฺต > วิญฺญาณานญฺจ > วิญฺญาณญฺจ (วิน-ยา-นัน-จะ)
(๒) “อายตน”
อ่านว่า อา-ยะ-ตะ-นะ รากศัพท์มาจาก –
(1) อา (คำอุปสรรค = ทั่วไป, ยิ่ง) + ยตฺ (ธาตุ = พยายาม) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)
: อา + ยตฺ = อายตฺ + ยุ > อน = อายตน (อา-ยะ-ตะ-นะ) แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่ผู้ต้องการผลพยายาม” (ผู้ต้องการผลอันใดอันหนึ่ง ไปลงมือพยายามทำกิจเพื่อผลนั้นในที่ใด ที่นั้นชื่อว่า “ที่เป็นที่ผู้ต้องการผลพยายาม”)
(2) อา (ผล)+ ตน (ธาตุ = ขยาย, แผ่ไป) + อ (อะ) ปัจจัย
: อาย + ตนฺ = อายตนฺ + อ = อายตน (อา-ยะ-ตะ-นะ) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ขยายผลของตนไป”
หนังสือ ศัพท์วิเคราะห์ ของ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต) แปล “อายตน” ว่า อายตนะ, ที่อยู่, ที่เกิด, ที่ประชุม, เหตุ, บ่อเกิด, เทวาลัย, เจดีย์, ลัทธิ
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกความหมายของ “อายตน” ไว้ดังนี้ –
(1) stretch, extent, reach, compass, region; sphere, locus, place, spot; position, occasion (ระยะ, เขต, ปริมณฑล, ดินแดน, ถิ่น, สถานที่, จุด; ตำแหน่ง, โอกาส)
(2) exertion, doing, working, practice, performance (ความพยามยาม, การกระทำ, การทำงาน, การปฏิบัติ, การประกอบ)
(3) sphere of perception or sense in general, object of thought, sense-organ & object; relation, order (ขอบเขตของความเข้าใจหรือความรู้สึกโดยทั่วๆ ไป, สิ่งที่คิดถึง, สิ่งที่รับรู้ และธรรมารมณ์; ความสัมพันธ์, ลำดับ)
ในที่นี้ “อายตน” ใช้ในความหมายตามข้อ (1)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –
“อายตนะ : (คำนาม) เครื่องรู้และสิ่งที่รู้ เช่น ตาเป็นเครื่องรู้ รูปเป็นสิ่งที่รู้, ในพระพุทธศาสนาหมายถึง จักษุ โสต ฆาน ชิวหา กาย ใจ เรียกว่า อายตนะภายใน เป็นเครื่องติดต่อกับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์. (ป., ส.).”
พึงทราบว่า ตามที่พจนานุกรมฯ บอกไว้นี้เป็นเพียงความหมายหนึ่งเท่านั้นของคำว่า “อายตน” ในบาลี
วิญฺญาณญฺจ + อายตน = วิญฺญาณญฺจายตน (วิน-ยา-นัน-จา-ยะ-ตะ-นะ) แปลว่า “ภูมิแห่งผู้บรรลุฌานกำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้”
“วิญฺญาณญฺจายตน” ใช้ในภาษาไทยเป็น “วิญญาณัญจายตนะ” (วิน-ยา-นัน-จา-ยะ-ตะ-นะ) คำนี้ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกความหมายคำว่า “วิญญาณัญจายตนะ” ไว้ดังนี้ –
…………..
วิญญาณัญจายตนะ : ฌานอันกำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ หรือภพของผู้เข้าถึงฌานนี้ (ข้อ ๒ ในอรูป ๔)
…………..
และที่คำว่า “อรูป” พจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ มีคำอธิบายดังนี้ –
…………..
อรูป : ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ได้แก่ อรูปฌาน, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน, ภพของอรูปพรหม มี ๔ คือ ๑. อากาสานัญจายตนะ (กำหนดที่ว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์) ๒. วิญญาณัญจายตนะ (กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์) ๓. อากิญจัญญายตนะ (กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์) ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่)
…………..
“วิญญาณัญจายตนะ” จัดอยู่ในภูมิที่เรียกว่า “อรูปาวจรภูมิ” ชั้นของพรหมผู้ท่องเที่ยวอยู่ในอรูป หรือชั้นของพวกที่ได้อรูปฌาน คือที่เรียกรวมว่า “อรูปพรหม” และเป็นอรูปพรหมชั้นที่สอง
ภูมิของอรูปพรหมมี 4 ระดับ คือ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าปฏิบัติธรรมให้ถึงระดับเข้าถึงเหตุผล
: ก็จะข้ามพ้นจากการถกเถียงกันด้วยทิฐิ
#บาลีวันละคำ (3,531)
11-2-65
…………………………….
…………………………….