ทางลัดที่เรายังไม่รู้
ทางลัดที่เรายังไม่รู้
——————-
มีพระคุณเจ้ารูปหนึ่งบอกผมว่า ท่านมีวิธีปฏิบัติธรรมให้บรรลุโสดาบันได้โดยทางลัด
คล้ายกับมีสูตร ปฏิบัติตาม ๑… ๒… ๓… บรรลุโสดาได้ทันที
ผมก็ไม่ได้ถามว่า ๑… ๒… ๓… ที่ละไว้นั้นคือทำอย่างไร แต่ท่านยืนยันว่าท่านมีสูตร เหมือนกับจะบอกว่า บรรลุโสดานั้นไม่ยากเลย
……………….
ที่เรียกว่า “โสดาบัน” หรือ “โสดา” นั้น หมายถึงอะไร ตรงนี้ต้องรู้เรื่อง “อริยบุคคล” สักหน่อยก่อนจึงจะเข้าใจ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้ว่า –
……………………………………………
อริยบุคคล : (คำนาม) บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น. (ป. อริยปุคฺคล).
……………………………………………
คำว่า “ธรรมวิเศษ” ที่พจนานุกรมฯ บอกไว้นั้น ไม่ใช่ “วิเศษ” แบบผู้วิเศษ ของวิเศษ เหาะได้ หายตัวได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ อย่างที่เรามักเข้าใจกัน แต่หมายถึง “ระดับจิต” ที่สูงกว่าปุถุชน
อริยบุคคล แปลว่า บุคคลผู้เป็นอริยะ หมายถึงท่านผู้บรรลุธรรมที่สามารถยกจิตขึ้นเหนือโลก สุขทุกข์มากระทบก็ไม่กระเทือน กระเทือนก็น้อย ทั้งนี้ตามสภาพของคุณธรรมที่บรรลุ มี ๔ จำพวก คือ
๑ พระโสดาบัน
๒ พระสกทาคามี (หรือสกิทาคามี)
๓ พระอนาคามี
๔ พระอรหันต์
แบ่งซอยออกไปอีกเป็น ๘ จำพวก คือ
ผู้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติมรรค และผู้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ๑ คู่
ผู้ดำรงอยู่ในสกทาคามิมรรค และผู้ดำรงอยู่ในสกทาคามิผล ๑ คู่
ผู้ดำรงอยู่ในอนาคามิมรรค และผู้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล ๑ คู่
ผู้ดำรงอยู่ในอรหัตมรรค และผู้ดำรงอยู่ในอรหัตผล ๑ คู่
……………………………………………
นี่ก็คือที่เราสวดกันในบทสังฆคุณ
… ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ
อฏฺฐ ปุริสปุคฺคลา …
สวดมนต์แปลสำนักสวนโมกข์แปลว่า
… คือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่
นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ …
……………………………………………
ทั้ง ๘ บุรุษนี้จำสั้นๆ ว่า ผู้ดำรงอยู่ในมรรคและผู้ดำรงอยู่ในผล
มีคำอธิบายว่า มรรคกับผลเป็นธรรมที่คู่กัน และผลจะเกิดต่อเนื่องจากมรรคทันทีไม่มีการทิ้งช่วง คือพอดำรงอยู่ในมรรคแล้วทันใดนั้นก็ไปดำรงอยู่ในผลทันที ไม่ใช่-ดำรงอยู่ในมรรค ๗ วันแล้วจึงไปดำรงอยู่ในผล-อะไรทำนองนี้
คำว่า “อกาลิโก” ที่แปลว่า “ไม่ประกอบด้วยกาล” อันเป็นลักษณะหนึ่งของพระธรรมคุณ ท่านหมายถึงอาการที่มรรคกับผลเกิดติดต่อกันไปไม่มีอะไรมาคั่นเช่นนี้แหละ
ทำความเข้าใจง่ายๆ ว่า ผลเกิดต่อเนื่องจากมรรคโดยไม่ต้องใช้เวลารอ
ใครจะเป็นอริยบุคคลจำพวกไหนหรือระดับไหน ท่านใช้กิเลสที่เรียกว่า “สังโยชน์” เป็นเกณฑ์ตัดสิน กล่าวคือ
๑ พระโสดาบัน จะต้องละสังโยชน์ ๓ ข้อนี้ได้ คือ –
(1) สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตนเป็นต้น
(2) วิจิกิจฉา ความสงสัย ความลังเล ความเคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย
(3) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงายเห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร
๒ พระสกทาคามี ละสังโยชน์ ๓ ข้อได้เหมือนพระโสดาบัน และทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง (พระโสดาบันยังทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงไม่ได้)
๓ พระอนาคามี ต้องละสังโยชน์ต่อไปได้อีก ๒ ข้อ คือ –
(4) กามราคะ ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ
(5) ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง
๔ พระอรหันต์ ต้องละสังโยชน์ได้หมดทั้ง ๑๐ ข้อ คือละต่อไปได้อีก ๕ ข้อ คือ –
(6) รูปราคะ ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ
(7) อรูปราคะ ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ
(8) มานะ ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่
(9) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
(10) อวิชชา ความไม่รู้จริง, ความหลง
คราวนี้คงพอเข้าใจแล้วว่า “โสดาบัน” หรือ “โสดา” นั้น หมายถึงอะไรหรือหมายถึงใคร
ที่ควรรู้ต่อไปอีกก็คือ ธรรมชาติของโสดาบันนั้นจะตาย-เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และพระอรหันต์นั้นเมื่อดับขันธ์แล้วก็ไม่มีภพภูมิใดๆ ที่จะต้องไปเกิดอีกต่อไป
มีคำบาลีรับรองเป็นหลักฐานว่า –
……………………………………………
ขีณา ชาติ (ขี-นา- ชา-ติ) = การเกิดจบสิ้นแล้ว
อยมนฺติมา ชาติ (อะ-ยะ-มัน-ติ-มา ชา-ติ) = ชาตินี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว (นัด-ถิ-ทา-นิ ปุ-นับ-พะ-โว) = บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกต่อไป
……………………………………………
ปุถุชนอย่างเราท่านตายแล้วเกิดอีกไม่มีกำหนดสิ้นสุด ที่เรียกว่าแหวกว่ายอยู่ในสังสารวัฏ คือการเวียนตายเวียนเกิด
เท่าที่ได้ศึกษามา ไม่ปรากฏว่ามี “ทางลัด” ที่จะบรรลุธรรม มีแต่พระบาลีที่แสดงเรื่องปฏิบัติลำบาก-ปฏิบัติสบาย กับบรรลุธรรมช้า-บรรลุธรรมเร็ว ดังนี้
……………………………………………
๑ ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา = ปฏิบัติลำบาก ทั้งบรรลุธรรมได้ช้า (เช่นพระจักขุบาล)
๒ ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา = ปฏิบัติลำบาก แต่บรรลุธรรมได้เร็ว (เช่นพระมหาโมคคัลลานะ)
๓ สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา = ปฏิบัติสบาย แต่บรรลุธรรมได้ช้า (น่าจะได้แก่ชาวพุทธทั่วไป)
๔ สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา = ปฏิบัติสบาย ทั้งบรรลุธรรมได้เร็ว (เช่นพระสารีบุตร)
ที่มา: อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๑ ข้อ ๑๖๑
……………………………………………
ถ้าท่านผู้ใดใครผู้หนึ่งมีทางลัดหรือค้นพบทางลัดที่จะบรรลุธรรมเพื่อเป็นพระอริยบุคคล ก็สมควรที่จะประกาศ แสดง เปิดเผย ออกมาให้แจ้งชัด คนทั้งหลายที่รู้ทางนั้นแล้วจะได้ดำเนินตาม เราก็จะมีคนบรรลุมรรคผลกันมากขึ้น
พระอริยบุคคล ๓ จำพวก คือ โสดาบัน สกทาคามี และอนาคามี ชาวบ้านธรรมดาที่ปฏิบัติธรรมก็สามารถเป็นได้ พูดง่ายๆ ว่า ไม่ต้องบวชพระก็เป็นได้
มีแต่ระดับพระอรหันต์เท่านั้น ถ้าบรรลุธรรมระดับนี้ต้องบวชทันที
และตามที่ศึกษามา ท่านยืนยันว่า ผู้ที่บรรลุธรรมตั้งแต่โสดาบันจะไม่ไปอบายภูมิ พูดง่ายๆ ว่าไม่ตกนรก
ที่ไม่ตกนรกก็เพราะบุคคลระดับนี้จะไม่ประพฤติชั่วอย่างเด็ดขาด
บ้านเมืองเรา หรือว่าโดยวงกว้าง โลกมนุษย์ทั้งโลกมีปัญหาเดือดร้อนสารพัดก็เพราะคนประพฤติชั่ว
ถ้าคนไม่ประพฤติเสียอย่าง โลกก็สงบร่มเย็น
ใครรู้ทางลัดปฏิบัติเป็นโสดาบัน ควรเปิดเผยให้โลกรู้
มนุษย์จะได้เป็นโสดาบันกันเยอะๆ
นั่นหมายถึงคนที่ไม่ทำชั่วจะมีมากขึ้น
คนทำชั่วจะลดน้อยลง
โลกมนุษย์จะสงบสุขมากขึ้น
เห็นแสงสว่างแห่งสันติกันหรือยังครับ
ผมกลัวแต่ว่า พอจะให้บอกทางลัดสู่ความเป็นโสดาบัน ก็เกิดตั้งเงื่อนไขนี่นั่นโน่นขึ้นมาทันที เช่น-ต้องมาเป็นศิษย์สำนักฉันก่อน – จบเลย
………………
นึกดูอีกที ทางลัดแห่งการบรรลุธรรมนั้นพระพุทธองค์ทรงแนะไว้ให้แล้ว ศึกษาได้จากเรื่องพระภิกษุรูปหนึ่งท่านรู้สึกว่าศีลของพระมีเยอะเกินไป ท่านปฏิบัติตามไม่ไหว
เฉพาะศีลที่เป็นเงื่อนไขแห่งการดำรงวิถีชีวิสงฆ์ คือไม่ทำสกปรก ก็ ๒๒๗ ข้อเข้าไปแล้ว
ยังศีลที่เป็นการทำตัวให้สะอาดควรแก่การกราบไหว้อีกเป็นพันข้อ
เมื่อรู้สึกว่าปฏิบัติไม่ไหว ท่านก็ขอลา
พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าปฏิบัติสักข้อเดียวจะไหวไหม
ภิกษุทูลตอบว่า ข้อเดียวน่าจะได้
พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ต่อไปนี้รักษาจิตอย่างเดียวพอ
“รักษาจิต” คือใช้สติควบคุมจิต
ภิกษุรูปนั้นใช้สติควบคุมจิตอยู่ไม่นานก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์-เลยโสดาบันไปอีก
…………………………………..
เรื่องนี้น่าจะอยู่ในธัมมปทัฏฐกถา ขอแรงนักเรียนบาลีที่ความจำดี ช่วยสอบดูแล้วนำมาบอกกล่าวกัน ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง (นี่คืองานของนักเรียนบาลี)
…………………………………..
เป็นอันว่า ทางลัดคือ “ใช้สติควบคุมจิต”
และ “สติ” ตัวนี้ พระพุทธองค์ตรัสเป็นคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า “อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” (อับ-ปะ-มา-เท-นะ สำ-ปา-เท-ถะ) เราสวดมนต์กันอยู่ทุกวัน
เรารู้ทางลัดกันทุกคนแหละ
แต่เราไม่เดิน ไม่ไป ใครจะทำไม
ทางลัดที่เรายังไม่รู้ก็คือ ทำอย่างไรมนุษย์จึงจะใช้สติควบคุมจิตกันได้มากๆ
ใครรู้ทางลัดนี้ช่วยบอกหน่อยเถิด
แต่ไม่ต้องรอคำตอบนะครับ และไม่ต้องรอใคร ตัวเรานี่แหละลงมือทำเอง-ทำเดี๋ยวนี้ได้เลย
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๐ เมษายน ๒๕๖๕
๑๖:๓๕
………………………………………
ทางลัดที่เรายังไม่รู้
………………………………………