แผ่เมตตาให้ถูกวิธี ตอนที่ ๒-กรุณา
แผ่เมตตาให้ถูกวิธี ตอนที่ ๒-กรุณา
———————————–
๒ แผ่กรุณา
แผ่เมตตาข้อที่ ๒ หมายถึงแผ่ “กรุณา” อันเป็นพรหมวิหารธรรมข้อที่ ๒
………………………………………
ขอทบทวนนิดหนึ่ง – ความเป็นไปของ “สัพเพ สัตตา” หรือเพื่อนร่วมโลก เมื่อประมวลแล้วก็มีอยู่ ๔ ลักษณะ คือ –
๑ เป็นปกติ
๒ เป็นทุกข์
๓ เป็นสุข
๔ เป็นไปตามสภาวะ
………………………………………
ท่านให้แผ่กรุณาเมื่อเห็นเพื่อนร่วมโลกตกอยู่ในสภาพเป็นทุกข์
คำว่า “ทุกข์” แปลตามศัพท์ว่า “ทนได้ยาก” นักเรียนนักธรรมแปลกันว่า ความไม่สบายกายไม่สบายใจ นักอธิบายธรรมะรุ่นใหม่บอกว่า ทุกข์คือปัญหา
เมื่อเพื่อนร่วมโลกเกิดปัญหา เผชิญปัญหา ประสบปัญหา ซึ่งตามปกติในชีวิตประจำวันไม่เคยมีปัญหาแบบนั้น ก็เกิดมามีขึ้น นั่นแหละคือ “เป็นทุกข์”
รายละเอียดของทุกข์มีเป็นอเนกอนันต์ คงนึกเอาเองได้ ไมต้องพรรณนา
ไม่ว่าทุกข์หรือปัญหานั้นจะมากหรือน้อย จะหนักหรือเบา จะเกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วคราวหรือเกิดอยู่นานวัน เมื่อเราได้รู้ได้เห็น ท่านสอนให้แผ่เมตตาด้วยวิธี “แผ่กรุณา”
“กรุณา” แปลตามศัพท์ว่า –
๑ “ธรรมชาติที่สร้างความสะเทือนใจแก่คนดีเมื่อผู้อื่นมีทุกข์”
๒ “ธรรมชาติที่กั้นความสุขไว้” (คือห้ามความสุขตัวเองเพื่อช่วยคนอื่น)
๓ “ธรรมชาติเป็นเครื่องทำตนให้เป็นที่พึ่งอาศัยของคนอื่น”
๔ “ธรรมชาติที่กำจัด” (คือกำจัดทุกข์ของผู้อื่น)
๕ “ธรรมชาติที่เบียดเบียน” (คือเบียดเบียนความเห็นแก่ตัวออกไป)
๖ “ธรรมชาติที่กระจาย” (คือแบ่งปันความสุขแก่ผู้อื่น)
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “กรุณา” ว่า pity, compassion (ความกรุณา, ความสงสาร)
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –
“กรุณา : ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์, ความหวั่นใจ เมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ คิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ของเขา.”
ข้อควรเข้าใจ :
(๑) “กรุณา” เป็นคุณธรรมที่สำเร็จได้ด้วยใจเช่นเดียวกับพรหมวิหารธรรมข้ออื่น
การจะตัดสินว่ามีกรุณาหรือไม่ ต้องพิสูจน์ด้วยใจมีความปรารถนาจะช่วยเปลื้องทุกข์ ไม่ตัดสินกันที่การลงมือทำ
ถ้าใจมีกรุณาที่แท้จริงด้วย และลงมือทำด้วย ก็นับว่าเป็นความดีสองชั้น คือชั้นมีกรุณา และชั้นลงมือทำ
การลงมือทำ (เช่นลงมือช่วยเหลือ) ไม่เป็นเครื่องรับรองที่แท้จริงว่ามีกรุณา อาจทำเพื่อหวังผลตอบแทน หรือทำไปตามหน้าที่ก็ได้
(๒) ความแตกต่างระหว่าง “เมตตา” กับ “กรุณา” ก็คือ :
เมตตา : หิตสุขูปนยกามตา = ความปรารถนาที่จะนำสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุขเข้าไปให้ (the desire of bringing [to one’s fellowmen] that which is welfare and good)
กรุณา : อหิตทุกฺขาปนยกามตา = ความปรารถนาที่จะกำจัดสิ่งที่มิใช่ประโยชน์เกื้อกูลและความทุกข์ยากจากเพื่อนมนุษย์ (the desire of removing bane and sorrow from one’s fellowmen)
ตรงกับคำที่สังคมไทยคุ้นกัน นั่นคือ “บำบัดทุกข์ – บำรุงสุข”
กรุณา = บำบัดทุกข์
เมตตา = บำรุงสุข
……………
เมื่อจะแผ่กรุณาตามรูปแบบ มีคำบาลีที่กำหนดไว้ดังนี้ –
……………
สพฺเพ สตฺตา
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจนฺตุ
……………
เขียนแบบคำอ่านเป็นดังนี้ –
……………
สัพเพ สัตตา
สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ
…………..
คำบาลีสลับคำแปลที่นิยมแปลกันเป็นดังนี้ –
……………
สัพเพ สัตตา = สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ = จงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเถิด
…………..
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมโลกมีปัญหา ก็ตั้งอารมณ์ว่า ขอให้เขาพ้นจากปัญหาทั้งปวงเถิด – นี่คือ “แผ่กรุณา”
อุปสรรคที่ทำให้แผ่ “กรุณา” ได้ไม่เต็มที่หรือแผ่ได้ยากก็คือ “วิหิงสาวิตก” คือความคิดที่จะทำให้เขาทุกข์หนักขึ้นไปอีก เห็นเพื่อนมนุษย์ตกทุกข์แค่นี้ยังไม่สะใจ อยากจะให้มันผู้นั้นลำบากเดือดร้อนหรือวิบัติฉิบหายหนักหนาสาหัสขึ้นไปอีกร้อยเท่าพันเท่า
ใครมีพื้นอารมณ์เป็นอย่างนี้ละก็ แผ่กรุณาได้ยาก
ความคิดจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่เกิด
สามารถช่วยได้แท้ๆ แต่ไม่ช่วย ใครจะทำไม
ทางแก้ก็คือ ต้องถอยอารมณ์ไปตั้งหลักกันที่-หัดแผ่เมตตาไปก่อน
เริ่มด้วย-หัดวางอารมณ์เป็นกลางๆ ต่อเพื่อนร่วมโลก ใครสุขใครทุกข์ เราทำใจเป็นกลางไว้ก่อน
พอคุ้นกับความเป็นกลางแล้ว ก็เริ่มก้าวแรก-ตั้งอารมณ์ขอให้เขามีสุขตามปกติของเขาต่อไป-นี่คือเมตตา
ครั้นอารมณ์เมตตามั่นคงดี คราวนี้พอเห็นเขามีปัญหามีทุกข์ ก็จะค่อยๆ ก้าวหน้าต่อไป-ตั้งอารมณ์ขอให้เขาพ้นจากทุกข์ จะเริ่มทำได้ง่ายขึ้น-นี่คือกรุณา
…………..
ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว แผ่กรุณาเป็นกิจที่ควรทำยิ่งกว่าแผ่เมตตาด้วยซ้ำไป แผ่เมตตาเราใช้เมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์มีความสุขอยู่ตามปกติของเขา ซึ่งในยามนั้นแม้ไม่มีใครระลึกถึง เขาก็อยู่เป็นปกติสุขของเขาได้อยู่แล้ว
แต่ในยามที่เพื่อนมนุษย์มีความทุกข์ มีปัญหาจะต้องแก้ ยามนั้นเขาย่อมต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องการคนเห็นใจ รับรู้ในความทุกข์ของเขา และยามนั้นแหละที่การแผ่กรุณาเป็นกิจที่ควรทำและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ผู้มีทุกข์มีปัญหาต้องการมากที่สุด
ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้ แทนที่จะแผ่เมตตาอย่างเดียว หรือแนะนำสั่งสอนกันให้แผ่แต่เมตตา ก็ควรสนใจที่จะแผ่กรุณาให้แก่กันด้วย และช่วยกันทำให้มากขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็อย่าให้น้อยไปกว่าที่แผ่เมตตา
การแผ่กรุณาเป็นกิจทางใจ และเป็นบุรพภาคแห่งการลงมือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เพราะเมื่อใจมีกรุณาแล้ว ความกรุณาจะผลักดันให้คิดหาทางช่วยเหลือต่อไป ถ้าช่วยด้วยตัวเองได้ก็จะลงมือช่วย ถ้าตนเองไม่สามารถ ก็จะคิดหาทางบอกกล่าวขอร้องผู้มีความสามารถต่อไปอีก
สมดังภาษิตที่ผู้รู้กล่าวไว้ว่า –
มหาปุริสภาวสฺส
ลกฺขณํ กรุณาสโห.
อัชฌาสัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณา
เป็นลักษณะของมหาบุรุษ
ที่มา: สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
พุทธศาสนสุภาษิตเล่ม ๑ ข้อ ๒๐๖
……………………………………..
ตอนต่อไป:
แผ่เมตตาให้ถูกวิธี ตอนที่ ๓-มุทิตา
……………………………………..
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๗ เมษายน ๒๕๖๕
๑๓:๕๘
……………………………………….
ภาพประกอบ: จาก google
……………………………………….
แผ่เมตตาให้ถูกวิธี ตอนที่ ๓-มุทิตา
……………………………………….
แผ่เมตตาให้ถูกวิธี ตอนที่ ๑-เมตตา
……………………………………….