เรียนบาลี ควรมีมากกว่าเรียนแปลภาษา
เรียนบาลี ควรมีมากกว่าเรียนแปลภาษา
————————————
ที่เรียกว่า “เรียนบาลี” ของนักเรียนบาลีในเมืองไทยทุกวันนี้คือเรียนอะไร?
คำตอบคือ เรียนวิธีแปลภาษา
การเรียนบาลีของเราเป็นการเรียนวิธีแปลภาษาจากคัมภีร์ที่ใช้เป็นแบบเรียน ซึ่งมีกรอบเกณฑ์กำหนดไว้ว่า –
ศัพท์นี้ต้องแปลอย่างนี้
ภาษาบาลีประโยคนี้ต้องแปลเป็นไทยแบบนี้
ภาษาไทยประโยคนี้ต้องแปลเป็นบาลีแบบนี้
ทำได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด เป็นอันว่าสอบได้
ความรู้อื่นใดนอกจากนี้ อยู่นอกเกณฑ์ที่กำหนด เราไม่ได้สอนและไม่ได้เรียนกัน
เอาแค่เรื่องของคัมภีร์ที่นักเรียนบาลีหยิบจับขึ้นมาเรียนอยู่ทุกวันนั่นเอง เช่นคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาเป็นต้น
เราไม่ได้สอนกันเลยว่า คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาเป็นคัมภีร์ประเภทไหน เป็นคัมภีร์ชั้นไหน มีกำเนิดขึ้นตั้งแต่สมัยไหน
เรื่องเหล่านี้เราไม่ได้สอน ไม่ได้เรียน และไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่ในเนื้อหาของการเรียน
เราหยิบจับคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาขึ้นมาเรียนกันทุกวัน แต่เราไม่เคยเรียนรู้ความเป็นมาของคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถากันเลย
เราแปลคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาได้ทะลุปรุโปร่ง
แต่เราไม่รู้จักคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา
น่าอัศจรรย์หรือไม่
ให้อธิบาย ให้เล่าถึงคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา นักเรียนบาลีของเราจะอธิบายไม่ได้ ประวัติคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาไม่ได้อยู่ในเนื้อหาของการเรียน
ประวัติของคัมภีร์ทุกเล่มที่ใช้เป็นแบบเรียนในชั้นต่างๆ ก็ไม่อยู่ในเนื้อหาของการเรียน
นั่นเป็นอย่างหนึ่งของเรื่องที่ควรเรียน แต่เราไม่ได้เรียน
เป็นเรื่องที่เราควรรู้ แต่เราไม่มีความรู้
อีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่เคยเรียนกันเลย และผมกำลังจะเสนอให้พิจารณาก็คือ การเรียนรู้คุณค่าของคัมภีร์
ชี้เฉพาะคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาคัมภีร์เดียวก่อน พอเป็นตัวอย่าง
คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาใช้เป็นแบบเรียนวิชาแปลมคธเป็นไทย ชั้นประโยค ๑-๒ และชั้น ป.ธ.๓ และใช้เป็นแบบเรียนวิชาแปลไทยเป็นมคธ ชั้น ป.ธ.๔, ป.ธ.๕ และ ป.ธ.๖
ที่เรียนกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาแปลมคธเป็นไทยหรือวิชาแปลไทยเป็นมคธ เราเรียนคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาเฉพาะในด้านวิธีแปลภาษาเท่านั้น
๑ เห็นภาษาบาลีในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา เราแปลเป็นภาษาไทยได้
๒ เห็นภาษาไทยที่แปลมาจากคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา เราแปลกลับเป็นภาษาบาลีได้
นี่คือขอบเขตที่เราเรียนคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา กำหนดไว้เท่านี้เท่านั้น
ผมขอเสนอให้ขยายขอบเขตการเรียนออกไปอีก คือเรียนเนื้อหาของคัมภีร์ด้วย
คำว่า “เนื้อหาของคัมภีร์” หมายถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านบรรยายไว้ในคัมภีร์ที่เราเอามาเรียนวิธีแปลภาษากันอยู่นี่แหละ แทนที่จะเรียนเฉพาะวิธีแปลภาษา ก็เรียนกว้างออกไปถึงเนื้อหาของเรื่องด้วย เช่น –
๑ สามารถเล่าเรื่องได้ เล่าแบบขยายเรื่อง หรือเล่าแบบย่อเรื่อง สามารถทำได้
ทุกวันนี้นักเรียนบาลีของเราแปลคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาได้หมด แต่ให้เล่าเรื่อง เล่าไม่ได้ ไปไม่เป็น เพราะเราไม่ได้สอนกัน เราสอนแต่วิธีแปลภาษาล้วนๆ
๒ สามารถหยิบยกประเด็นเด่นๆ ในแต่ละเรื่องขึ้นมาวิจารณ์แสดงความคิดเห็นได้ นั่นแปลว่า เรียนให้รู้ว่าจุดเด่นของแต่ละเรื่องอยู่ตรงไหนบ้าง มีหลักธรรม มีข้อคิดอะไรอยู่ตรงนั้น สามารถยกออกมาชี้ให้ดูได้
ข้อนี้คงมีหลายท่านบอกว่า โอ แบบนี้มันไม่ใช่เรียนบาลีแล้ว มันกลายเป็นเรียนวรรณคดีไปแล้ว
นั่นเพราะเราติด “กับดัก” กันมานาน คือไปหลงทางอยู่ว่า เรียนบาลีคือเรียนวิธีแปลภาษาเท่านั้น
ผลจากการคิดแบบนี้ก็คือ เรามีนักเรียนบาลีที่มีความสามารถในการแปลภาษา แต่ไม่มีความสามารถในการนำเรื่องราวที่แปลมาถ่ายทอดขยายผลต่อไปอีก
เพราะฉะนั้น ก็ต้องทำใหม่คิดใหม่ ให้คำจำกัดความกันใหม่
ไม่จำเป็นต้องตั้งหลักสูตรขึ้นมาใหม่ หลักสูตรเดิมนี่แหละ แต่ขยายวิธีสอนวิธีเรียนออกไป ครูสอนบาลีไม่ใช่สอนวิธีแปลอย่างเดียว ต้องสอนวิธีจับใจความ จับประเด็น เล่าเรื่อง สรุปเรื่อง วิเคราะห์เรื่องพร้อมกันไปในกระบวนการเรียนการสอน
แปลธัมมปทัฏฐกถาจบไปเรื่องหนึ่ง นักเรียนสามารถเล่าเรื่องได้ ทั้งแบบเต็มเรื่องและแบบย่อเรื่อง
เรื่องนั้นมีข้อขอดพิสดารเงื่อนแงที่น่าศึกษาน่าขบคิดอยู่ตรงไหนบ้าง สามารถหยิบยกออกมาชี้ชวนให้กันดูได้ สามารถวิเคราะห์วิจารณ์แง่มุมต่างๆ ในเรื่องนั้นๆ ได้
จบไปเรื่องหนึ่ง เรื่องต่อไปก็เรียนโดยวิธีเดียวกัน
โดยวิธีนี้ นักเรียนบาลีของเราจะมีความสามารถรอบด้านเกี่ยวคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ไม่ใช่แปลได้อย่างเดียวอย่างที่กำลังเป็นอยู่
แน่นอน นี่คือการปฏิรูปวิธีเรียนบาลี แต่ก็ปฏิรูปเฉพาะขอบเขตเนื้อหาที่เรียนเท่านั้น ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงหลักการอื่นๆ แต่ประการใด
ลองนึกดูเถิดว่า เราผลิตนักเรียนบาลีที่มีความสามารถในการแปลภาษาบาลีออกมาปีหนึ่งเป็นจำนวนมากพอควร แต่นักเรียนบาลีแทบจะไม่ได้ใช้ความสามารถในการแปลภาษาบาลีไปทำอะไรอีกเลย แค่ให้เล่าเรื่องในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาสักเรื่องหนึ่งก็อึกอักแย่แล้ว
และแม้แต่ความสามารถในการแปลภาษาบาลีโดยตรงนั่นเองก็แทบจะไม่ได้เอาไปใช้งานอะไรอีก
ประเด็นนี้ไปผูกโยงเข้ากับประเด็นที่ว่า-คณะสงฆ์ของเราไม่ได้เตรียมตลาดไว้รองรับ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราผลิตนักเรียนบาลีโดยไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเลย นอกจากความสำเร็จส่วนตัวของนักเรียน-เอาไว้ชื่นชมกันว่า จบประโยค ๙ หรือได้เป็นนาคหลวง อื่นจากนี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรที่มองเห็นเป็นภาพรวมของพระศาสนา
นอกจากไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว เวลาใครบอกให้นักเรียนบาลีของเราก้าวหน้าไปศึกษาให้ถึงพระไตรปิฎก เรากลับบอกกันว่า เรื่องแบบนี้ควรเป็นไปตามอัธยาศัย จบเลย
เรามีนักเรียนบาลีที่มีความสามารถในการแปลภาษาบาลีนับพัน และยังผลิตออกมาเรื่อยๆ ทุกปี แต่เชื่อหรือไม่ เมื่อวานซืนนี้เองก็ยังมีคนบ่นตำหนิว่า แปลพระไตรปิฎกกันยังไง อ่านไม่รู้เรื่อง ทำไมไม่แปลให้ชาวบ้านเขาอ่านรู้เรื่อง แปลออกมามีแต่กลิ่นภาษาแขกโบราณออกหึ่งไป น่าเบื่อหน่าย (ซ้ำยกฝรั่งมาข่มเสียด้วยว่า ฝรั่งเขาแปลพระไตรปิฎกไม่มีกลิ่นภาษาแขกโบราณเลย!)
นักเรียนบาลีฟังแล้วรู้สึกอย่างไร?
งานตรงๆ แท้ๆ คืองานแปลภาษาบาลีให้ชาวบ้านอ่านรู้เรื่อง เราก็ไม่ได้ทำ ทั้งๆ ที่เรานี่แหละได้รับยกย่องว่า “ผู้มีความสามารถในการแปลภาษาบาลี”
ผมเชื่อว่า ถ้าขยายขอบเขตการเรียนบาลีให้กว้างออกไปถึงการศึกษาเรียนรู้เรื่องราวเนื้อหาในคัมภีร์ให้รู้เข้าใจอย่างลึกและอย่างกว้าง และสามารถนำไปถ่ายทอดได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ถึงตอนนั้น นักเรียนบาลีของเราก็จะมีความสามารถในการแปลพระไตรปิฎกให้ชาวบ้านอ่านรู้เรื่องได้มากขึ้น ทั้งจะมีอุตสาหะ มีแรงบันดาลใจทำงานเพื่อพระศาสนากันมากขึ้น โดยไม่ต้องนั่งรอให้คณะสงฆ์หาตลาดรองรับ หากแต่นักเรียนบาลีนี่แหละสร้างตลาดกันขึ้นมาเอง โดยวิธีใช้ความรู้ที่เรียนมาไปศึกษาพระธรรมวินัย แล้วช่วยกันเผยแพร่หลักพระธรรมวินัยที่ถูกต้องสู่สังคมต่อไปอีก
ทำอย่างนี้แหละคือการพิสูจน์ว่า เรียนบาลีไม่ได้มีแค่เรียนแปลภาษา แต่เรียนเพื่อรักษาพระศาสนาได้อย่างแท้จริง
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕
๑๔:๑๔
………………………………………
เรียนบาลี ควรมีมากกว่าเรียนแปลภาษา
………………………………………