บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

รับราชการอย่างไรให้เจริญก้าวหน้า

รับราชการอย่างไรให้เจริญก้าวหน้า

———————————–

ผมไม่เคยตั้งความหวังไว้ว่าจะรับราชการ 

เมื่อออกจากวัดมาแล้วก็คิดอยากทำงานที่วาดฝันอย่างเดียว คืองานหนังสือพิมพ์ 

หนังสือพิมพ์ดังๆ ในสมัยนั้นผมไปสมัครมาหมดทุกฉบับ 

แต่ไม่มีฉบับไหนรับ

ภาษาดอกไม้ที่ผมได้รับคือ “เขียนใบสมัครไว้ ว่างแล้วจะเรียก”

แต่ไม่มีฉบับไหนเรียก

โชคดีที่ผมได้ทำงานที่มูลนิธิภูมิพโลภิกขุเพื่อการค้นคว้าและเผยแผ่ทางพระพุทธศาสนา เป็นงานวิชาการที่ถนัดและใจรัก 

มูลนิธิภูมิพโลภิกขุเป็นหน่วยงานเอกชน หัวฝรั่ง บริหารงานแบบฝรั่ง ฝึกให้เป็นคนสู้งาน ผมได้นิสัยทำงานเพื่องานมาจากที่นั่น

อยู่มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ เกือบ ๔ ปี ผมไปสอบเข้ารับราชการที่หอสมุดแห่งชาติในตำแหน่งนักภาษาโบราณ

อยู่หอสมุดแห่งชาติ ๓ ปี ๔ เดือน ผมไปสอบเข้ารับราชการที่กองทัพเรือในตำแหน่งอนุศาสนาจารย์

อยู่กองทัพเรือจนเกษียณอายุราชการ

ในฐานะคนเคยทำงานเอกชนที่เขี้ยวลากดิน 

เคยรับราชการพลเรือนที่-สบายๆ 

และเคยรับราชการทหารที่เข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย

ผมคงมีสิทธิ์ที่จะเสนอคำแนะนำบางประการสำหรับคนที่เดินตามหลังผมมา-เน้นหนักในสายทหารซึ่งผมอยู่มานานที่สุด

คำแนะนำเพื่อการรับราชการที่เจริญกาวหน้า มีดังนี้ –

………………….

ข้อ ๑ จงยึดถือระเบียบวินัยขององค์กรให้มั่นคง 

อย่ามองคน แต่จงมองกฎ

ตัวอย่างเช่น ทหารแต่งเครื่องแบบออกนอกอาคารต้องสวมหมวก นี่เป็นกฎ

มีทหารจำนวนหนึ่ง มีทั้งยศสูงทั้งยศต่ำ ที่แต่งเครื่องแบบไปไหนมาไหน ทั่วตลาด ทั่วบ้าน ทั่วเมือง โดยไม่สวมหมวก 

เหมือนพระออกนอกวัดแต่ไม่ห่มคลุม ชักจะนิยมกันมากขึ้น

ท ทหารหมวกหาย-ผมไม่เคยประพฤติ ไม่เคยเอามาเป็นตัวอย่าง และไม่เคยบอกให้ใครถือเป็นตัวอย่าง 

ถ้าจะเป็น ก็เป็นตัวอย่างในทางเลว

ใครทำก็ทำไป แต่ผมไม่ทำ

ตอนเป็นเรือโท วันหนึ่งผมเข้าเป็นนายทหารเวรประจำวัน พอสองทุ่ม ถอดเครื่องแบบได้ ผมสวมรองเท้าแตะเดินออกไปนอกกรม ผ่านประตูกองรักษาการณ์ 

ยามรักษาการณ์เรียกให้ผมหยุด ชี้ไปที่รองเท้า บอกว่าสวมรองเท้าแตะผ่านประตูนี้ไม่ได้ ผิดระเบียบ

ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี

ผมย้อนกลับเข้าไปในกรม แต่งเครื่องแบบแล้วเดินออกไปใหม่ คราวนี้ทหารยามคนเดิมทำความเคารพผมอย่างเข้มแข็ง

ผมจำเป็นบทเรียนว่า ทำตามกฎ อย่าทำตามคน

………………….

ข้อ ๒ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือประกาศิตสวรรค์

ทุกคำสั่งที่ผู้บังคับบัญชาสั่งโดยชอบ อย่าตอบเป็นอันขาดว่า “ทำไม่ได้” 

ถ้าทำไม่ได้จริงๆ จงตอบว่า “ขอรับไปศึกษารายละเอียดดูก่อน” แล้วพยายามพัฒนาตนเองจนสามารถปฏิบัติงานตามคำสั่งนั้นได้

นั่นคือ-อย่าบังอาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่จงจัดระเบียบของตัวเองเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ โดยร้องขอความเห็นใจจากผู้อื่นให้น้อยที่สุด

เมื่อเป็นนาวาโท ผมถูกส่งเข้าโรงเรียนหลักสูตรนายทหารอาวุโส ระยะเวลาศึกษา ๖ เดือน เวลาเรียนเต็มเหยียด-โดยเฉพาะวิชาสัมมนา ครูบาอาจารย์ควดจนไม่มีเวลากระดิกตัวไปทางไหนได้

ช่วงเวลานั้นเมืองไทยเรากำลังเตรียมการเฉลิมฉลองปีกาญจนาภิเษก เตรียมการจัดให้มีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค มีการสร้างเรือพระที่นั่งลำใหม่ในกระบวนพยุหยาตรา และมีการจัดประกวดกาพย์เห่เรือสำหรับเรือพระที่นั่งลำใหม่ มีประกาศเชิญชวนไปทั่วท้องน้ำ

วันหนึ่ง ผมเข้าไปที่กรมเพื่อค้นเอกสารบางเรื่องประกอบการเขียนข้อพิจารณาฝ่ายอำนวยการตามหัวข้อวิชาในหลักสูตร ผมได้รับทราบในวันนั้นว่าท่านเจ้ากรมมีคำสั่งด้วยวาจาให้นาวาโททองย้อยแต่งกาพย์เห่เรือเข้าประกวด

ผมนึกถึงภาพของเพื่อนอนุศาสนาจารย์ท่านหนึ่ง ประจำอยู่ที่กอง ลูกยังเล็ก ภรรยากำลังท้องแก่ ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการสนามชายแดนที่จังหวัดจันทบุรีเป็นเวลา ๑ ปี 

สิ่งที่เพื่อนท่านนั้นทำก็คือ นั่งหงายศีรษะพิงเก้าอี้ เอามือก่ายหน้าผากอยู่ครึ่งวัน แล้วเดินทางไปปฏิบัติราชการตามคำสั่งโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว

ผมนับถือเป็นแบบอย่างมาจนถึงทุกวันนี้

ผมถอยหลังมาตั้งหลัก จัดระเบียบชีวิตของตัวเองใหม่เพื่อให้มีเวลาแต่งกาพย์เห่เรือเข้าประกวดตามคำสั่ง โดยที่การเรียนตามหลักสูตรก็ยังคงเป็นไปอย่างหนักหนาสาหัสเท่าเดิม

………………….

ข้อ ๓ จงอย่าทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา กับผู้มียศสูงกว่า และถ้าเป็นไปได้-กับทุกคน

ในระบบทหาร มีหลักอยู่ว่า “ผู้บังคับบัญชาย่อมถูกเสมอ” และเมื่อใดที่ท่านบอกว่า “คุณผิด” จงอย่าได้บังอาจโต้แย้ง 

คำว่า “ผมไม่ผิด” หรือ “ผมถูก ท่านผิด” ที่เราเป็นคนพูดนั้น ไม่มีข้อมูลในพจนานุกรมของผู้บังคับบัญชา 

ผมจะถูกหรือผมจะผิด ให้ผู้บังคับบัญชาเป็นคนพูดเองดีที่สุด

วันหนึ่งผมเข้าเป็นนายทหารเวรประจำวัน รุ่งขึ้นนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านมาถึงกรมแต่เช้า ทหารเวรยังไม่ได้เปิดประตูห้องทำงานของท่าน ทำให้ท่านต้องรอเป็นเวลานาน พอท่านเข้าห้องได้ก็สั่งให้ไปตามนายทหารเวรประจำวันมาพบ

ผมถือหมวกเข้าไปชิดเท้าทำความเคารพ และยืนในท่าถือหมวกตรงหน้าโต๊ะทำงานของท่าน (ท่าถือหมวกทำอย่างไร ท่านที่เป็นทหารคงนึกภาพออก) ท่านเอะอะเอ็ดตะโรใส่ผมแบบไม่ยั้ง บรรยายความบกพร่องที่ไม่กำกับดูแลให้ทหารเวรเปิดห้อง แล้วสาธยายหน้าที่ของนายทหารเวรประจำวันยาวเหยียด บรรยายความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากความบกพร่องในหน้าที่ (เหมือนกับว่าความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น)

ผมยืนตรงอย่างสงบ ไม่เอ่ยถ้อยคำใดๆ สบตาท่านตลอดเวลาที่ท่านพูดบ่งบอกถึงความตั้งใจฟังและเต็มใจรับความผิดโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

ท่านพูดคนเดียวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง บ่นถึงการอบรมดูแลทหาร บ่นถึงความบกพร่องของหน่วยงานในวงกว้างออกไป ลงท้ายกลายเป็นการปรับทุกข์ถึงปัญหาต่างๆ ภายในกรม 

ตลอดเวลานั้นผมพูดอยู่คำเดียวว่า “ครับผม”

ในที่สุด เหมือนกับเครื่องยนต์ที่ค่อยเย็นลงแล้ว ท่านคงจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ท่านมองหน้าผมแล้วถามว่า “เอากาแฟสักถ้วยไหม”

นายทหารผู้ใหญ่ท่านนั้นเกษียณในชั้นยศพลเรือโท ก็นับว่าใหญ่พอสมควร ทุกครั้งที่ท่านเข้ามาในกองทัพเรือและเจอผม ท่านจะทักทายพูดคุยอย่างเป็นกันเอง และที่สำคัญท่านเรียกผมว่า “อาจารย์” ทุกคำ

………………….

ข้อ ๔ อย่าสร้างปัญหาให้ผู้บังคับบัญชา 

โดยเฉพาะการตั้งเงื่อนไข อ้างความจำเป็นส่วนตัวในการทำงาน และที่สำคัญ-การโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่

ผมบรรจุครั้งแรกอยู่ในกรม ในขณะที่เพื่อนฝูงย้ายออกไปหาประสบการณ์หน่วยนอกกันเป็นว่าเล่น ผมต้องเฝ้ากรมอยู่ถึง ๕ ปี 

ถ้าเป็นพระก็เป็นนิสัยมุตกะแล้ว ท่านจึงย้ายออกไปอยู่หน่วยนอก

ผมรับราชการในกองทัพเรือ ๒๕ ปี ทำตัวเป็น “หมาก” ที่ดี ไม่เคยขอไปอยู่ที่นั่น ขอไม่อยู่ที่โน่น ท่านจะจับไปวางตรงไหนก็ได้ ทุกตำแหน่งมีงานให้ผมทำได้เต็มมือทั้งนั้น 

………………….

ข้อ ๕ จะเอางานเจริญ หรือจะเอาตัวเจริญ 

ข้อนี้ต้องเลือกเอาเอง 

เอางานเจริญ ก็มองเนื้องาน ตั้งหน้าทำงานให้ถูกงาน

เอาตัวเจริญ ก็มองหน้านาย คือผู้บังคับบัญชา ตั้งหน้าทำให้นายถูกใจ

เอางานเจริญ ก็ทำตามคำที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ข้าราชการคือคนที่ทำงานให้ประชาชนร้องออกมาว่า พอใจ พอใจ

เมื่อประชาชนพอใจ ก็เป็นเครื่องรับรองว่างานของเราสำเร็จ งานก็เจริญ

เอาตัวเจริญ ก็ต้องปรับใหม่เป็นว่า ข้าราชการคือคนที่ทำงานให้นายร้องออกมาว่า พอใจ พอใจ

เมื่อนายพอใจ นายก็จะปูนบำเหน็จความดีความชอบ ให้ยศให้ตำแหน่ง ตลอดจนให้ผลประโยชน์ 

อย่างไรก็ตาม พึงระลึกถึงความจริง ๒ ประการไว้เสมอ

ประการที่ ๑ ความจริงที่ว่า ระบบราชการก็คือระบบอำนาจในมือนาย ยิ่งเป็นข้าราชการการเมืองด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดเจน 

นักการเมืองต้องการอำนาจก็เพราะอำนาจเป็นที่มาของผลประโยชน์ทั้งปวง

และผู้มีอำนาจจะอำนวยประโยชน์ให้ใครก็ต่อเมื่อผู้นั้นทำให้เขาถูกใจเท่านั้น

ข้าราชการที่ต้องการรับราชการให้ตัวเจริญ จึงต้องพยายามทำให้ผู้มีอำนาจถูกใจเข้าไว้ เพราะการถูกใจย่อมนำไปสู่การอำนวยประโยชน์

ประการที่ ๒ ความจริงที่ว่า การรับราชการให้ตัวเจริญนั้น ตัวจะได้อยู่เสวยผลก็ในชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น 

อย่างปกติก็แค่เกษียณอายุราชการ 

อย่างดีที่สุดก็ต่อไปอีกแค่ชั่วชีวิต 

หากแม้จะมีผลสืบต่อไปถึงลูกหลานบ้าง ก็ใช่ว่าจะยั่งยืนยาวนานไปได้สักเพียงไหน ซ้ำก็เสวยผลกันอยู่ในวงแคบๆ เพียงไม่กี่คน

แต่การรับราชการให้งานเจริญนั้น ตัวเราอาจเป็นได้แค่พออยู่พอกิน แต่ผลงานเนื้องานจะอยู่ยั่งยืน อำนวยประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ในวงกว้างไปนานเท่านาน 

แม้ตัวตายไปแล้ว ผลงานก็ยังอยู่

เรียกได้ว่าอยู่เลยตายต่อไปอีกยาวไกล

จะรักยาวหรือรักสั้น เลือกเอาเอง

———————–

ทั้งหมดนี้ตั้งใจเขียนเพื่อญาติมิตรบางคนที่เดินตามหลังผมมา

แต่อาจจะเป็นประโยชน์แก่ญาติมิตรทั้งปวงได้บ้างอีกด้วย-โดยเฉพาะญาติมิตรที่ยังรับราชการอยู่

หวังว่าทุกท่านจะตัดสินใจเลือกแนวทางที่ถูกต้องโดยทั่วกัน

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑ กันยายน ๒๕๖๐

๑๕:๕๐

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *