ฤๅจะรอให้ฝรั่งมาสอนภาษาไทย
ฤๅจะรอให้ฝรั่งมาสอนภาษาไทย
————————-
มีญาติมิตรแชร์ข่าวมาที่หน้าบ้านผม
อ่านเฉพาะพาดหัวข่าว มีข้อความว่า –
………………………………….
ผบ.ทบ.ประกาศรับทหารสมัครใจบวชส่งจำวัดชายแดนใต้
………………………………….
ผมไม่ทราบว่า ท่านผู้บัญชาการทหารบกท่านใช้คำนี้ตรงๆ
หรือว่าเป็นคำที่หนังสือพิมพ์ใช้เอง
“จำวัด” แปลว่า นอนหลับนะครับ
ส่งจำวัดชายแดนใต้ – ก็แปลว่าส่งไปนอนหลับที่ชายแดนใต้
โดยนัยก็คือส่งไปตายกันอีกนั่นเอง
ไม่รู้สึกขายหน้าชาติกันมั่งหรือครับ?
—————–
การใช้คำผิดความหมายเช่นนี้ มีผู้พยายามแก้แทนว่า มันเป็นไปตามความนิยมของผู้คน คนเขาใช้คำนี้ (จำวัด) ในความหมายนี้ (อยู่ประจำวัด) กันทั้งนั้น ภาษาเป็นเรื่องสมมุติ เมื่อสังคมสมมุติกันอย่างนี้ก็ควรจะถือว่าใช้ได้เหมือนกัน
เขาใช้ผิด ทำไมเราจะต้องใช้ผิดตามละครับ
เราใช้ให้ถูกได้นี่ครับ
แทนที่เราจะใช้ผิดตามเขา เราควรจะช่วยกันบอกคนที่ใช้ผิดว่า-ที่คุณใช้อย่างนั้นน่ะ มันผิดนะ
ช่วยกันบอก ช่วยกันแก้ไขสิครับ
ทำไมจะต้องช่วยกันใช้ผิดๆ ตามกันไปอีกเล่า
มีที่ไหนที่เจริญแล้วเขาสอนกันหรือครับว่า-เห็นใครทำอะไรผิด เราจงช่วยกันทำผิดๆ ตามกันไป ช่วยกันทำผิดให้มากๆ แล้วจะเป็นความเจริญ
มีแต่ว่า-เห็นใครทำผิด ต้องช่วยกันห้ามปราม ช่วยกันบอกกล่าวว่าอย่าทำผิดแบบนั้น และช่วยกันอบรมสั่งสอนกันว่า ที่ถูกจะต้องทำอย่างไร
นี่กลับยกคนส่วนมากขึ้นมาอ้างเพื่อจะได้ทำผิดตามกันไป
ทำไมคิดวิปริตแบบนั้นละครับ?
ยิ่งอ้างเรื่องสมมุติ นี่ก็ยิ่งหลงหนักเข้าไปอีก
ก็เพราะมันเป็นสมมุตินะสิครับ เราจึงสามารถสมมุติให้มันถูกได้
ที่ถูกต้องคืออะไร แบบแผนก็มีอยู่แล้ว เราก็รู้แล้ว
แล้วจะต้องสมมุติให้ผิดทำไม
แล้วยังจะต้องสมมุติผิดนั้นให้เป็นถูกอีก
ก็สมมุติให้มันถูกไปตั้งแต่แรกเลยสิครับท่าน
——————
เรื่องของเรื่องก็คือ ไม่ศึกษา ไม่สำเหนียก ไม่เรียนรู้ หากแต่เอาความเข้าใจผิด-ซึ่งอันที่จริงก็คือความไม่รู้-ของตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วก็ใช้ไป พูดไป เขียนไป ตามความไม่รู้นั้น
ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ของเราแท้ๆ ไม่ใช่ภาษามนุษย์ต่างดาวที่ไหนเลย
ทำไมไม่ศึกษาภาษาแม่กันสักหน่อยละครับ
แค่เรียนภาษาไทย ไม่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ยังทำไม่ได้
แล้วการรักษาชาติบ้านเมืองซึ่งหนักหนาสาหัสกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า จะทำกันได้หรือครับ?
ผมอธิบายเรื่องคำว่า “จำวัด” มาจนปากจะฉีกอยู่แล้ว ไม่มีใครฟัง
“จำวัด” แปลว่า นอนหลับ ใช้เป็นกิริยาของภิกษุสามเณร
หรือต้องแปลเป็นอังกฤษก่อนจึงจะเข้าใจ?
“จำวัด” คือ sleep ครับ
ถ้าจะให้หมายถึง stay หรือ dwell หรือ remain หรือ live สำหรับภิกษุสามเณร ขอให้ใช้คำว่า “จำพรรษา” ครับ
มีคนทักท้วงว่า “จำพรรษา” พจนานุกรมบอกความหมายว่า “อยู่ประจำที่วัด ๓ เดือนในฤดูฝน” คือตอนเข้าพรรษาเท่านั้น เพราะฉะนั้น นอกพรรษาจะใช้คำว่า “จำพรรษา” ไม่ได้
นั่นแน่!!
คราวนี้อ้างพจนานุกรมทันที
ก็พจนานุกรมบอกว่า “จำวัด” คือนอนหลับ ใช่หรือไม่
ส่งพระไปอยู่ที่ชายแดนใต้ ทำไมใช้คำว่า “จำวัด” ละครับ
ส่งพระไปนอนหลับหรือครับ
ทีอย่างนี้ทำไมไม่อ้างพจนานุกรม?
“จำพรรษา” ที่พจนานุกรมบอกความหมายว่า “อยู่ประจำที่วัด ๓ เดือนในฤดูฝน” เป็นการให้นิยามตามเหตุผลดั้งเดิมของการจำพรรษา เนื่องจากสมัยต้นพุทธกาลพระสงฆ์ยังไม่มีวัดเป็นที่พักอาศัยแน่นอน พระจึงจาริก คือเดินทางไปเรื่อยๆ
การเดินทางไปเรื่อยๆ มีเหตุผล ๒ ประการ คือ
๑ เพื่อแสวงหาสถานที่สงบสงัดสำหรับปฏิบัติธรรมจำเริญพระกรรมฐานตามสมณวิสัย
๒ เพื่อประกาศพระธรรมคำสอนแก่ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ
พอถึงฤดูฝนก็หยุดจาริก พักอาศัยอยู่กับที่ตลอดฤดูฝน จึงเรียกการอยู่พักอาศัยในสถานที่แห่งเดียวของพระสงฆ์ว่า “จำพรรษา”
ปัจจุบันนี้ พระภิกษุสามเณรมีสถานที่พักเป็นหลักแหล่งแน่นอน กฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์ไทยก็กำหนดชัดเจนว่าพระภิกษุสามเณรในเมืองไทยนี้ต้องมีสังกัด คือต้องอยู่วัดใดวัดหนึ่งแน่นอน จะเที่ยวเร่ร่อนไม่มีวัดอยู่มิได้
การอยู่ประจำที่วัดในปัจจุบันจึงไม่ได้อยู่เฉพาะ ๓ เดือนเหมือนสมัยแรกเริ่ม หากแต่อยู่ประจำตลอดปี คำว่า “จำพรรษา” จึงมีความหมายรวมไปถึงการพักอยู่ที่วัดใดวัดหนึ่งตลอดเวลาที่ยังครองสมณเพศอยู่
ซึ่งความหมายดังว่านี้พจนานุกรมของเรายังไม่ได้ปรับแก้ให้ตรงกับความเป็นจริง
เรื่องนี้ผมอธิบายมานานแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง
หรือว่า-คนจบมาจากวัดนี่มันไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี
ฟังก็เป็นเสนียดหู ดูก็เป็นเสนียดตา
ต้องเชิญฝรั่งมาสอนภาษาไทยให้คนไทย-นั่นแหละจึงจะสมศักดิ์ศรี
จะรอให้เป็นแบบนั้น ก็เชิญตามสบายเถอะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๓ มกราคม ๒๕๖๒
๑๐:๒๒
——–
ความคิดเห็นท้ายโพสต์
Sompong Duangsawai
เรื่องนี้ไม่ได้อยู่คำผิดคำถูก แต่อยู่ที่คิดผิดหรือคิดถูกที่ทำเช่นนั้น ผมว่าอันตรายกับพระปัจจุบันที่อยู่ในวัดต่างๆทีี่ชายแดนใต้มากยิ่งๆขึ้นไปอีก
ทองย้อย แสงสินชัย
ว่ากันตามหลักแล้ว คณะสงฆ์ไทยควรถือเป็นหน้าที่ที่จะต้อง “สร้าง” พระที่มีคุณภาพให้มากๆ แล้วคัดสรรส่งไปอยู่ในพื้นที่โดยอยู่ใน “อารักขา” ของทางบ้านเมือง
.
พระที่ว่านี้เป็นพระแท้ ศึกษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติพระธรรมวินัย อบรมสั่งสอนพระธรรมวินัยให้แก่ประชาชนจริงๆ ไม่ใช่ “ทหารในคราบพระ”
.
แต่ความคิดเช่นที่ว่านี้ แค่คิด คณะสงฆ์ก็คงยกภูเขาหลายลูกมาขวางทางไว้ คือบอกว่าทำไม่ได้หรอกเพราะเหตุ ๑ ๒ ๓ ๔ …
.
แต่เหตุสำคัญที่สุดก็คือความคิดที่เกิดขึ้นในใจพระทั้งหลายว่า “ไปอยู่ที่นั่นก็ตายนะสิ” ผมว่าฝ่ายตรงข้ามทำงานได้ผลในระดับหนึ่งแล้ว นั่นคือก่อกระแสความรู้สึก “ไปอยู่ที่นั่นก็ตายนะสิ” ให้เกิดขึ้นในใจพระนอกพื้นที่ได้แล้ว ผลก็คือจะไม่มีพระที่ไหนกล้าไปอยู่ที่นั่น นั่นแปลว่าคณะสงฆ์ไทยมีแนวโน้มว่าจะสูญเสียพื้นที่ภาคใต้ในอนาคต
.
ถามว่า แล้วผู้บริหารการพระศาสนาคิดอย่างไร? ก็คงคิดเหมือนกับที่สามัญบุรุษคิด นั่นคือ-ถึงตอนนั้นอาตมาก็ไม่ได้อยู่แล้ว ใครอยู่ก็ว่ากันไปก็แล้วกัน
.
สามัญบุรุษคิดเฉพาะตัว
มหาบุรุษคิดถึงอนาคตของส่วนรวมด้วยเสมอ
…………………………….
…………………………….