บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

วัฏจักรชีวิต

วัฏจักรชีวิต

———–

ปกติผมจะไม่เล่าเรื่องชีวิตประจำวันลงในเฟซบุ๊ก เว้นแต่เรื่องที่ไปเจอะเจออะไรมาในเวลาไปเดินออกกำลัง

วันนี้จะขออนุญาตสักครั้งนะครับ

ภาพที่นำลงประกอบเรื่องเป็นภาพอาหารวันนี้ (๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) 

ปกติอาหารการกินของผม ผมยกให้เป็นสิทธิของอาจารย์ผู้หญิงที่บ้าน ท่านจัดอะไรวางไว้ให้ ผมก็กินสิ่งนั้น ไม่เรื่องมาก 

ใช้ภาษาพระก็ว่า “สุภโร” คือทำตัวเป็นคนเลี้ยงง่าย ญาติโยมใส่บาตรอะไรที่เขากินกันได้ในชีวิตประจำวัน พระก็ฉันสิ่งนั้น

————

เมื่อประมาณ ๑๐ วันที่ผ่านมาผมกับอาจารย์ผู้หญิงที่บ้านชวนกันไปเยี่ยมหลานที่กรุงเทพฯ โดยความเอื้อเฟื้อของลูกสาวมารับไป แล้วเลยค้างอยู่ที่กรุงเทพฯ หลายวัน เมื่อวานนี้ (๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) ลูกสาวพาผมมาส่งบ้านที่ราชบุรีคนเดียว ส่วนอาจารย์ผู้หญิงยังไม่หายคิดถึงหลาน ยังอยู่ต่อ

ความจริงผมยังขับรถเข้ากรุงเทพฯ ได้สบายๆ แต่รู้สึกว่า ลูกๆ จะไม่ค่อยสบายด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ขับทางไกล

ก่อนที่ลูกสาวจะกลับกรุงเทพฯ เธอก็จัดแจงอะไรต่อมิอะไรให้พ่อ-คือผม

เริ่มตั้งแต่จับตัวไปสอนวิธีเปิดโทรทัศน์

ปกติผมไม่ดูโทรทัศน์ เมื่อก่อนเคยดูบ้าง แต่เลิกดูมาร่วม ๔๐ ปีเข้าไปแล้ว เหตุที่เลิกก็เพราะเห็นความไม่มีสาระในรายการโทรทัศน์สำหรับตัวเองมากขึ้น 

หมายความว่ารายการต่างๆ ในโทรทัศน์ก็คงมีสาระไปตามสภาพของเขา เพียงแต่ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องรับเอาสาระชนิดนั้นอีกแล้ว ก็เลิกไป

ทุกวันนี้แม้ผมจะไม่วิ่งตามไปเสพข่าว แต่ข่าวสารต่างๆ ก็วิ่งมาชนผมอยู่ไม่ขาด 

เพราะฉะนั้น ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ฟังวิทยุ รวมทั้งไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ก็ไม่รู้สึกว่าตกยุคหรือไม่ทันโลกที่ตรงไหน

ปกติอยู่กัน “สองคนตายาย” อาจารย์ผู้หญิงท่านก็ครอบครองโทรทัศน์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย เพราะผมไม่ดูอยู่แล้ว

เมื่อไม่ดูโทรทัศน์ ผมก็ไม่ต้องเปิดโทรทัศน์ และผมก็จึงเปิดไม่เป็น

ลูกสาวอยากให้ผมแสวงหาความรื่นรมย์จากโทรทัศน์บ้าง

“ไม่ใช่วันๆ เอาแต่นั่งจ้องคอม.” เธอว่าอย่างนั้น

นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากออกแถลงการณ์ส่วนตัวสักฉบับ

————

คือว่า บรรดาช่องทางสื่อสารสมัยใหม่ที่เรียกว่า โซเชียลมีเดีย นั้น เมื่อเข้าไปสัมพันธ์กับมัน ใครก็ไม่รู้ไปบัญญัติให้ใช้คำกริยาว่า “เล่น”

เช่น เล่นคอม. เล่นเน็ต เล่นไลน์ รวมทั้งเล่นเฟซบุ๊ก

ผมขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ใครจะเรียกว่าเล่น และใครจะเล่นกับมันก็เล่นไป แต่สำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหนผมไม่เคยเล่น

ผมใช้มันเป็นเครื่องมือหรือช่องทางในการทำงาน และแสวงหาความรู้ครับ 

ไม่ใช่ใช้เพื่อเล่นหรือเพื่อความเพลิดเพลิน

เมื่อผมนั่งอยู่หน้าจอคอม. นั่นหมายความว่าผมกำลังทำงานหลักๆ ๒ อย่าง คือ 

(๑) อ่านหนังสือ หมายรวมทั้งค้นคว้าเรื่องราวความรู้ต่างๆ โดยมากเกี่ยวกับคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา และ –

(๒) เขียนหนังสือ อย่างที่กำลังเขียนเรื่องนี้ และเรื่องอื่นๆ ที่เป็น “การบ้าน” รอให้เขียนอีกมากมาย

และอย่างที่ผมเคยบอก-สำหรับผม การทำงานคือการพักผ่อนที่วิเศษที่สุด

แต่ทั้งนี้มิได้แปลว่าผมจะพักผ่อนด้วยวิธีทำงานอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน 

ผมก็ต้องมีเวลาพักผ่อนด้วยวิธีพักผ่อนตามประสาคนธรรมดาทั้งหลายด้วยเช่นกัน

————

ต้องขอบคุณความก้าวหน้าทางวิทยาศาตร์ที่ทำให้มนุษย์ผลิตอุปกรณ์ไฮเทคขึ้นมาได้ ช่วยให้เรื่องยุ่งยากในสมัยหนึ่งกลายเป็นเรื่องง่ายในสมัยนี้

ยกตัวอย่าง สมัยก่อนถ้าผมจะค้นอะไรสักเรื่องในพระไตรปิฎก ผมจะต้องไปที่วัดหรือที่ห้องสมุด ต้องขลุกอยู่กับกองหนังสือสูงท่วมหัว จะค้นศัพท์อะไรสักศัพท์หนึ่งที่จำไม่ได้ว่าอยู่ในเรื่องอะไร จะมีปัญหามาก หรือแม้จำเรื่องได้ก็ยังมีปัญหาต่อไปอีกคือจำไม่ได้ว่าเรื่องนั้นอยู่ในเล่มไหน ต้องพลิกหนังสือเป็นสิบเล่ม เสียเวลาไปครึ่งค่อนวันเพื่อจะพบคำที่ต้องการเพียงคำเดียว

สมัยก่อนผมเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ใช้กระดาษกองเป็นตั้งๆ ปากกาดินสอเป็นกำมือ เขียนผิด เขียนตก ยกข้อความอ้างอิง เสียเวลาวุ่นวายมาก

แต่วันนี้ นั่งอยู่หน้าคอม. เครื่องเดียว มีทุกอย่างที่ต้องการ ทำได้สารพัด เขียนหนังสือกี่เล่มก็ไม่ต้องใช้กระดาษแม้แต่แผ่นเดียว สะดวกสบายที่สุด ขอให้มีความคิดที่จะเขียน จะอ่าน จะทำงานที่ใจรักเท่านั้น

จะดูหนังคาวบอยสักเรื่อง ก็ดูจากคอม.ได้อีกเหมือนกัน ไม่ต้องถ่อไปถึงโรงหนัง และไม่ต้องเปิดโทรทัศน์ให้ยุ่งยากอีกต่างหาก

ด้วยเหตุดังแถลงมา กิริยาที่ผมนั่งจ้องคอม. จึงมีแต่เรื่องสนุก-สนุกตามคำจำกัดความของผม

และผมไม่กลัวว่าตัวเองจะเป็นง่อย เพราะผมมีวิธีบริหารร่างกายไปในตัว

ทำนองเดียวกับที่ผู้รู้ท่านว่า-ถ้ารู้วิธี ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกเวลาทุกสถานที่

ถ้ารู้วิธี ก็สามารถบริหารร่างกายได้ตลอดเวลา

————

นอกจากสอนวิธีเปิดโทรทัศน์ให้แล้ว ลูกสาวผมก็เตรียมอาหารการกินไว้ให้ด้วย

ผมมีปัญหาเรื่องฟัน คือฟันที่มีอยู่ในปากทุกซี่ใช้งานไม่ได้โดยสิ้นเชิง

แต่ไม่มีปัญหาเรื่องกิน

อะไรที่ไม่เปื่อยไม่ยุ่ย ผมไม่เอาใส่ปาก เท่านี้ก็แก้ปัญหาได้หมด

และของกินที่เปื่อยที่ยุ่ย ก็หาได้ไม่ยาก 

ใช้สำนวนโฆษณาสมัยก่อนก็ว่า-หาซื้อได้ตามร้านขายทั่วไป

ลูกสะใภ้ผมเป็นทันตแพทย์-แต่ไม่ใช่คนที่กำลังเป็นข่าว- สมาชิกในครอบครัวช่วยกันลุ้นให้ผมทำฟันมานานแล้ว

ไปค้างกรุงเทพฯ คราวนี้ คุณหมอฟันได้ทีจับตัวผมไปถอนฟันเกือบหมดปาก เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า-ได้ฤกษ์ที่จะต้องทำฟันในไม่ช้าไม่นานนี้แน่นอน

————

ภาพที่นำลงประกอบเรื่องเป็นภาพอาหารเช้า และอาหารเย็นวันนี้ ตามคำแนะนำของลูกสาว 

ไม่มีอะไรที่จะต้องใช้ฟันเคี้ยว

โดยเฉพาะสีเหลืองในถ้วยนั่นคือซุปฟักทอง เป็นฝีมือของลูกสาวทำเอง ทำไว้ค่อนหม้อใบเขื่อง 

ก่อนกลับยังกำชับวิธีเก็บ วิธีอุ่น วิธีกิน พร้อมมูล

————

เมื่อลูกยังเล็ก ผมมีวิชาทำอาหารให้ลูกกินอยู่อย่างหนึ่ง คือข้าวคลุกกะปิ 

เครื่องปรุงมี ๓ อย่าง 

ข้าวสวยธรรมดา

กะปิดี

ไข่เจียว

วิธีทำ-

เอากะปิขยำกับข้าวจนเข้ากันดีไม่เห็นเนื้อกะปิ

หั่นไข่เจียวเป็นฝอย หรือเป็นชิ้นเล็กๆ

เอาไข่เจียวคลุกเคล้ากับข้าวที่คลุกกะปิเตรียมไว้แล้ว

แบ่งข้าวคลุกกะปิเป็น ๓ ชามเท่าจำนวนลูก

จากนั้นก็นั่งดูลูกกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

ลูกๆ เคยบอกว่า ข้าวคลุกกะปิฝีมือพ่ออร่อยมาก

นั่นเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวที่ผมสามารถทำเลี้ยงลูกได้-ทำได้อยู่อย่างเดียวจริงๆ

————

วัฏจักรชีวิตกำลังวนมาถึงรอบ

เมื่อก่อนเราสอนลูก แนะนำลูก

เดี๋ยวนี้ลูกกลับมาสอนเรา แนะนำเรา

เมื่อก่อนเราเลี้ยงลูก ดูแลลูก

ตอนนี้ลูกกำลังกลับมาเลี้ยงเรา ดูแลเรา

มีอีกหลายเรื่องที่คนเราต้องยอมอยู่ในอำนาจของวัฏจักร-ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม

รู้ความเป็นจริงอย่างนี้ ชีวิตก็พอหาความสุขได้ไม่ยาก

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

๑๘:๕๔

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *