บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

วิธีที่จะไม่สร้างปัญหาแย่ๆ ให้ส่วนรวม

วิธีที่จะไม่สร้างปัญหาแย่ๆ ให้ส่วนรวม

————————————

ตอนนี้นักการเมืองกำลังหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ วันเลือกตั้ง) หน้าบ้านผมมีรถโฆษณาหาเสียงผ่านไปมาทุกวัน คึกคักดี

ผมมีข้อสังเกตว่า นักการเมืองไม่ว่าระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติจะมีธรรมชาติเหมือนกัน คือถ้าไม่มีการเลือกตั้งก็จะหายเงียบเหมือนไม่มีตัวตน 

บ้านเมืองมีปัญหาอะไร ท่านเหล่านี้จะนิ่งเงียบ ไม่เคยออกมาช่วยคิดอ่านหาทางแก้ไขใดๆ ต่อให้ปัญหาหล่นลงมากองอยู่หน้าบ้านตัวเองแท้ๆ ท่านก็จะนิ่งเฉย เหมือนอยู่คนละโลก 

เหตุผลที่นิยมยกขึ้นมาอ้างก็คือ เรื่องนั้นๆ เขามีเจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอยู่แล้ว เราไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่าย 

เข้าใจพูดนะครับ-ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย 

มองการช่วยคิดช่วยทำช่วยแก้ปัญหาเป็นการก้าวก่าย

อีกอย่างหนึ่งที่เป็นธรรมชาติของนักการเมืองก็คือ ต้องมีตำแหน่งและมีผลประโยชน์ตอบแทนจึงจะทำงานรับใช้ประเทศชาติ รับใช้ประชาชน 

พอไม่ได้รับเลือกตั้ง ท่านเหล่านั้นก็จะหายเข้ากลีบเมฆไป

บ้านเมืองมีปัญหาอะไร ท่านก็จะเงียบเฉย ด้วยข้ออ้างเดิม-เขามีเจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอยู่แล้ว เราไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่าย

จบเรื่องนักการเมืองไว้แค่นี้ 

ไม่ใช่ประเด็นที่ตั้งใจจะพูดนะครับ

ประเด็นที่ตั้งใจก็คือ-ผมกำลังจะโยงธรรมชาตินักการเมืองมาที่ธรรมชาติของชาวพุทธในเมืองไทย ซึ่งมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง

นั่นคือ ชาวพุทธที่เป็นชาวบ้านในเมืองไทยไม่ศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยด้วยข้ออ้างว่า-การศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณร ไม่ใช่หน้าที่ของชาวบ้าน

ใช้สำนวนล้อคำพูดของนักการเมืองก็ต้องพูดว่า – งานพระศาสนามีพระสงฆ์ท่านดูแลรับผิดชอบอยู่แล้ว ชาวบ้านไม่ต้องเข้าไปก้าวก่าย

ผลก็คือ-ชาวบ้านส่วนมากก็เลยไม่มีความรู้หลักพระธรรมวินัย-แม้ในเรื่องที่ตนกำลังทำหรือกำลังเกี่ยวข้องอยู่แท้ๆ

เช่นเรื่องใส่บาตร ที่ชาวเรานิยมทำกันทั่วไปทุกเวลาเช้า 

ทำไมพระจึงไม่สวมรองเท้าเวลาออกบิณฑบาต ไม่รู้

พระรับอาหารที่ใส่บาตรได้มากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ 

ที่เห็นรับกันล้นเหลือเป็นคันรถเข็น ตามหลักพระวินัยจะต้องเอาไปทำอย่างไร ไม่รู้ 

ยืนบิณฑบาตอยู่กับที่ ยืนให้พรกันข้างถนน ผิดหรือถูก ไม่รู้

เอาเงินใส่บาตร ผิดหรือถูก ไม่รู้ 

จากไม่รู้ อาการก็หนักขึ้นไปถึงขั้นไม่สนใจที่จะรู้ 

จะผิดจะถูกจะต้องรู้ไปทำไม ทำแล้วได้บุญก็พอใจแล้ว-ว่ากันอย่างนั้น

ถามว่า-ได้บุญด้วยเหตุผลอย่างไร พิสูจน์ได้อย่างไรว่าทำแบบนั้นแล้วได้บุญ 

ยิ่งไม่รู้หนักเข้าไปอีก อธิบายไม่ได้ ตอบไม่ได้ ชักจะโกรธเอาด้วย

พูดเป็นอยู่คำเดียว-ทำแล้วได้บุญก็พอแล้ว อย่ามาซักไซ้ รำคาญ ไร้สาระ

นี่เป็นตัวอย่างเรื่องหนึ่ง

อีกสักเรื่อง – ไฟงานศพ ไปฟังสวดพระธรรม นี่ก็อีกเรื่องหนึ่งที่คนส่วนมากไม่มีความรู้

ที่ว่าสวดพระธรรมๆ นั้น คือสวดเรื่องอะไร

ทำไมพระที่สวดพระธรรมจึงมี ๔ รูป

ทำไมต้องสวด ๔ จบ นี่ก็ชักจะยุ่งแล้ว เพราะหลายวัดสวดแค่ ๒ จบ บางทีก็จบเดียว พอพูดว่า ๔ จบ ชักงงแล้ว

ทำไมต้องทอดผ้าบังสุกุล

พระที่ขึ้นไปชักผ้าท่าน “ว่า” อะไร 

พูดว่า “ชักผ้า” นี่ก็ทำท่าจะงงอีกเหมือนกัน ทำไมไปเรียกว่า “ชักผ้า” เห็นเรียกกันว่า “พิจารณาผ้า” ไม่ใช่หรือ ไปอุตริเอาคำว่า “ชักผ้า” มาแต่ไหน

เรื่องกรวดน้ำก็มีปัญหาเยอะที่คนส่วนมากไม่รู้เรื่อง 

สรุปว่า กิจที่เกี่ยวกับพระศาสนาที่ทำตั้งแต่เช้าจนค่ำ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เราทำกันไปแบบพร่ามัว

จุดที่เราพลาดกันมาช้านานก็คือ บอกกันว่าการศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยไม่ใช่หน้าที่ของชาวบ้าน

โปรดทราบว่า ที่บอกว่าให้ช่วยกันศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยนั้น ไม่ใช่ว่าเริ่มต้นก็จะเกณฑ์ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญอ่านพระไตรปิฎกจบ

เอาแค่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง เรื่องใกล้ตัว เรื่องที่ทำกันทั่วไปในชีวิตประจำวันนี่เท่านั้น 

เริ่มเข้าอนุบาลกันตรงนี้ก่อน 

หาความรู้เรื่องพวกนี้กันก่อน 

ยังไม่ต้องไปถึงระดับปริญญา

ทำได้หรือไม่

ยังมีชาวพุทธอีกประเภทหนึ่ง ที่มุ่งจะเอาแต่แก่น เอาแต่หลักธรรม เน้นการปฏิบัติ มุ่งจะดับภพดับชาติ ก็จะมองเรื่องพวกนี้ว่าเสียเวลา ไร้สาระ

นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ควรจะต้องทำความเข้าใจ หรือปรับความเข้าใจกันในโอกาสต่อไป

……………….

ตอนนี้กำลังมีผู้ยกปัญหาพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นประเด็นทางการเมือง

ถ้าไม่มีความรู้พระธรรมวินัยไว้เป็นหลัก ก็จะพากันหลงทางได้ง่ายที่สุด

หลงทางทั้งฝ่ายที่ตั้งปัญหา 

ทั้งฝ่ายที่ตอบปัญหา

รวมทั้งคนส่วนใหญ่ที่ติดตามปัญหา 

กลายเป็นตัวหมากในกระดานที่คนเล่นจับเดินได้ตามต้องการโดยไม่รู้ตัว

เราจะทำกิจเกี่ยวกับพระศาสนากันแบบพร่ามัว รู้บ้างไม่รู้บ้าง รู้ผิดรู้ถูกแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?

……………….

ที่ผมพูดบ่อยๆ ว่าให้ช่วยกันศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยนั้น สมัยนี้ช่องทางศึกษาเรียนรู้เปิดกว้างรอบทิศทาง 

โอกาสมีมากกว่าสมัยผมเริ่มศึกษาร้อยเท่าพันเท่า

ก็อย่างที่เคยบอก-สมัยผม จะอ่านพระไตรปิฎกสักเล่ม ต้องไปที่วัดหรือไปห้องสมุด ซึ่งก็มีน้อยอย่างยิ่ง และยุ่งยากอย่างยิ่ง

สมัยนี้ นั่งกระดิกขาอยู่กับบ้านก็สามารถอ่านพระไตรปิฎกได้ชั่วคลิกเดียว

ใครที่เข้ามาอ่านโพสต์ที่ผมเขียนนี้ได้ ย่อมสามารถเข้าไปหาความรู้เกี่ยวกับพระธรรมวินัยที่นั่นที่โน่นได้อีกอยางไร้เขตจำกัด

……………….

แต่ถ้าใครอยากจะทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง ผมขอชี้แนะให้ไปเริ่มต้นที่วัด 

พระภิกษุสามเณรที่ถนัดในทางยืนถือป้ายท่านน่าจะทำงานนี้ได้ถนัดกว่าใครอื่น 

นั่นคือ ช่วยกันรณรงค์เรียกร้องให้ปฏิรูปวัดทั่วสังฆมณฑลให้เป็นศูนย์การศึกษาพระธรรมวินัยสำหรับประชาชน 

วัดจะเป็นศูนย์การศึกษาพระธรรมวินัยสำหรับประชาชนได้ พระภิกษุสามเณรในวัดจะต้องมีความรู้หลักพระธรรมวินัยเป็นอย่างดีก่อน แล้วทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ไปสู่ประชาชน

รณรงค์ให้วัดเป็นศูนย์การศึกษาพระธรรมวินัยสำหรับประชาชน ก็เท่ากับรณรงค์ให้พระภิกษุสามเณรศึกษาพระธรรมวินัยไปด้วยในตัว

เรามีวัดทั่วประเทศประมาณ ๓๐,๐๐๐ วัด 

ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม

ยิ่งวัดที่มีคนหลั่งไหลเข้าไปวันละมากๆ ด้วยแล้ว ล้วนเข้าไปทำพิธีกรรมทั้งสิ้น

กิจกรรมศึกษาเรียนรู้ถ่ายทอดพระธรรมวินัย มีค่าเป็นศูนย์ + 

ฟื้นฟูบทบาทวัดในฐานะแหล่งเรียนรู้ถ่ายทอดพระธรรมวินัยขึ้นมา

จะด้วยการปฏิรูป ปฏิวัติ รื้อปรับระบบ 

หรือด้วยวิธีใดๆ ก็รณรงค์กันเข้าไป

พระภิกษุสามเณรที่ไปยืนถือป้ายก็ไม่ต้องลำบากไปยืนที่ไหนให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ 

ยืนที่วัดของท่านนั่นเลย วัดใครวัดมัน ยืนกันให้กระหน่ำ 

ชูประเด็นเดียว-ปฏิรูปวัดให้เป็นศูนย์การศึกษาพระธรรมวินัยสำหรับประชาชน 

เมื่อพระภิกษุสามเณรและประชาชน (๑) มีความรู้ในหลักพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง และ (๒) ประพฤติปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง มั่นคงทั่วถึงกันแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าอำนาจรัฐหรืออำนาจลึกลับอะไรจะมาครอบงำพระศาสนา ตราบเท่าที่ผู้บริหารบ้านเมืองยังเป็นสัมมาทิฐิอยู่

ส่วนที่ว่า-ทำอย่างไรผู้บริหารบ้านเมืองจึงจะเป็นสัมมาทิฐิ และถ้าผู้บริหารบ้านเมืองเป็นมิจฉาทิฐิจะทำอย่างไรกัน-เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

แต่ต้องทำวัดให้เป็นศูนย์การศึกษาพระธรรมวินัยสำหรับประชาชนก่อน เรื่องอื่นขึ้นบัญชีเตรียมไว้ 

ใครอยากจะแย้งว่า-มัวแต่หลับตาศึกษาพระธรรมวินัยอย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องปฏิรูปโครงสร้างระบบการปกครองก่อนจึงจะได้ผล 

ได้ พรบ.คณะสงฆ์ที่เป็นธรรมยุติธรรมวิเศษที่สุดในโลกมาสักกี่ฉบับก็ตาม แต่ถ้าพระภิกษุสามเณรและชาวบ้านไม่มีความรู้ในหลักพระธรรมวินัยและไม่ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง พระศาสนาก็ลอยละล่องไปตามลม

แต่ไม่เถียงด้วยละครับ ขอบาย 

เชิญตามสบายเถิด

……………….

ทฤษฎีของผมก็คือ ทำคนให้มีความรู้และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ถูกต้องก่อน แล้วเขาจะเป็นสมาชิกที่ดีมีคุณภาพของสังคม ทั้งสังคมบ้านและสังคมวัด

และวิธีทำคนให้มีความรู้และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ถูกต้องก็คือ ตัวเราเองลงมือ “หาความรู้” และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่ถูกต้องก่อนเป็นคนแรก ต่อจากนั้นจึงทำหน้าที่ “ให้ความรู้” แก่คนอื่นๆ ต่อไปอีก

จะเรียกร้องให้คนอื่นๆ ทำด้วยก็ได้ จะชักชวน หรือจะถึงกับใช้วิธีเคี่ยวเข็ญบังคับใครอีกก็ได้ถ้าแน่ใจว่าเรามีอำนาจบารมีมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ 

แต่ตัวเราต้องทำด้วย 

และต้องทำก่อน 

โดยไม่ต้องรอใคร 

และต้องทำอย่างยั่งยืน อย่างเป็นชีวิตจริง

ไม่ใช่การแสดงหรือสาธิตให้ดูชั่วครั้งชั่วคราว

ใครจะทำหรือไม่ทำก็ช่างเขา 

แต่มีคนทำอยู่คนหนึ่งแน่ๆ คือตัวเรา

นี่จะเป็นงานที่ตรงประเด็นที่สุด-ถ้าพระภิกษุสามเณรจะเป็นผู้ลงมือทำ-ทำที่วัดของแต่ละท่านนั่นเลยก่อนเพื่อน 

วิธีตามที่กล่าวมานี้ไม่มีประตูขาดทุน 

เสมอตัวก็ไม่มี

มีแต่กำไรล้วนๆ 

ที่แน่ที่สุดก็คือ การได้ศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้ดีแล้ว เป็นกำไรบริสุทธิ์ของชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้เข้ามาอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนา

วิธีนี้ แม้หากจะยังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาส่วนรวมได้ ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะสบายใจได้ว่า-ไม่ใช่เราแน่ๆ ที่สร้างปัญหาแย่ๆ ให้ส่วนรวม

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓

๑๗:๐๒

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *