บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ไม่ใช่กิจของสงฆ์

ไม่ใช่กิจของสงฆ์

——————

ภาพข่าวที่นักร้องคนหนึ่งแต่งตัวเป็นพระขึ้นไปร้องเพลงและเต้นบนเวทีของวงดนตรีในงานแห่งหนึ่งดังที่ทราบกันแล้วนั้น 

แต่งตัวเป็นพระแล้วไปทำแบบนั้น ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์

คนที่คิดทำเรื่องนี้ประสงค์ผลอะไร 

และเราควรจัดการอย่างไร

ผมขอชวนให้ตั้งวงพิจารณาดังนี้ 

๑ ขอแรงญาติมิตรที่ถนัดสืบข่าวช่วยเอารายละเอียดที่เป็นความจริงมาเปิดเผยให้ทราบทั่วกันว่า คือใคร ชื่อไร แสดงในงานอะไรที่ไหนเมื่อไรเป็นต้น

ข้อมูลเหล่านี้ผมสังเกตเห็นว่าแทบจะไม่มีใครเอามาบอก 

อันที่จริงข้อมูลข้อเท็จจริงพวกนี้ควรจะต้องเอามาบอกกันก่อนเป็นเบื้องต้น เพื่อคนทั้งหลายจะได้รู้ข้อเท็จจริงว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร 

ต่อจากนั้นจะแสดงความเห็นกันอย่างไรก็ว่ากันไป-ว่ากันไปบนข้อมูลข้อเท็จจริงนี้ ไม่ใช่ว่ากันเปรอะ เสร็จแล้วก็ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง

เวลานี้เราเป็นอย่างนี้กันมาก คือพอเห็นข่าวอะไรก็รุมกันแสดงความรู้สึก แต่ไม่ได้แสวงหาความรู้-แม้ในเรื่องที่กำลังแสดงความรู้สึกนั่นเอง

ความรู้สึก กับความรู้ เป็นคนละอย่างกัน

ความรู้สึก ใครก็แสดงได้ แต่ควรมีความรู้คือข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นๆ เป็นพื้นฐาน

หาความรู้ในเรื่องนั้นก่อน แล้วจึงแสดงความรู้สึก

ขอร้องให้ช่วยกันเพิ่มพูนนิสัยแบบนี้กันให้มากๆ นะครับ

๒ ข้อมูลเบื้องต้นที่บอกกันมาเท่าที่ผมได้อ่าน บอกว่าเป็นวงดนตรีชื่อทอมดี้ อยู่ที่จังหวัดพิจิตร ภาพที่ปรากฏเป็นภาพการแสดงในงานบวช

จากข้อมูลแค่นี้ ถ้าญาติมิตรท่านใดมีแก่ใจที่จะแสวงหาความรู้ความจริง ก็ควรช่วยกันสืบข่าวกันต่อไป โดยเฉพาะญาติมิตรที่อยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชน และโดยเฉพาะคนในพื้นที่หรือผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งผมเชื่อว่าในสังคมเฟซบุ๊กนี้จะต้องมีอยู่ด้วยแน่ๆ 

ขอแรงให้ช่วยกันทำประโยชน์ให้เพื่อนด้วยการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงนำมาเสนอสู่การรับรู้ทั่วกัน

โพสต์เรื่องสัพเพเหระทำไมทำได้

เรื่องที่เป็นสาระอย่างยิ่งเช่นนี้ทำไมจะไม่ควรทำ

๓ ผมสงสัยว่า เมื่อเอาภาพมาเผยแพร่ ทำไมจึงต้องปิดหน้า มีกฎหมายข้อไหนบัญญัติไว้หรืออย่างไร ขอแรงญาติมิตรที่เก่งทางกฎหมายช่วยอธิบายเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ให้เป็นวิทยาทานหน่อยนะครับ 

คือถ้าเราอ่านข่าวประเภทผู้หญิงถูกลวนลาม คนเขียนข่าวก็จะบอกว่า นางสาวนั่น เด็กหญิงนี่ – นามสมมุติ – ทั้งนี้เพื่อปกป้องผู้เสียหายไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือเพื่อเห็นแก่อนาคต อันนี้พอเข้าใจ เพราะเป็นผลเสียอันเกิดจากการกระทำของผู้อื่น

ในกรณีที่ผู้กระทำเป็นผู้ก่อความเสียหายให้แก่ผู้อื่น เราก็จะต้องปกป้องด้วยหรือ ถ้าเป็นเด็ก จะปกป้องก็ควร เพราะอาจกระทำด้วยความไร้เดียงสา หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โตขึ้นเขาอาจกลับตัวเป็นคนดีได้ ปกป้องเพื่อเห็นแก่อนาคต 

แต่กรณีนี้ไม่ใช่เช่นนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าผู้กระทำไม่ใช่เด็ก แต่โตพอที่จะรู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว รู้การควรไม่ควรแล้ว หากแต่จงใจกระทำ เป็นการกระทำที่ประสงค์ผลอย่างแน่นอน คือตัวเองรู้แน่ชัดว่าเมื่อทำอย่างนี้จะเกิดความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา ทั้งไม่ใช่แอบทำคนเดียว แต่เป็นการรวมหัวกันทำ จึงอ้างไม่ได้เลยว่าทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะความคึกคะนอง 

ขนาดนี้เราก็จะต้องปกป้องด้วยหรือ มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดหน้า กลัวถูกฟ้องหมิ่นประมาทหรืออย่างไร 

แล้วที่เขาหมิ่นประมาทพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาโต้งๆ ชัดๆ แบบนี้ ไม่กลัวอะไรเลยหรือ 

ผู้ถูกทำให้เสื่อมเสียถูกกระทำไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครปกป้องเลย

แต่ผู้กระทำให้เสื่อมเสียกลับได้รับการปกป้องอย่างดี 

ถ้ามีกฎหมายแบบนี้-เช่นหลักที่ว่า … ให้ถือว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำสั่งว่ากระทำผิดจริง-อะไรประมาณนี้ ผมก็ว่าสมควรจะต้องทบทวนกันแล้วแหละครับ 

๔ ขอถามว่ากรณีนี้-หรือกรณีเช่นนี้-ใครจะเป็นเจ้าทุกข์ฟ้องร้องต่อทางบ้านเมือง? 

ผมคาดเดาว่าจะมีผู้ตอบว่า ชาวพุทธทุกคนสามารถเป็นเจ้าทุกข์ไปแจ้งความตำรวจได้เลย 

คำตอบเช่นนี้-แม้ถ้าเป็นความจริง-ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะจะไม่มีใครไปแจ้งความใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากทุกคนจะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของฉัน แต่ควรเป็นคนนั้นคนโน้น 

คนไหนก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ฉัน 

ใครไปแจ้งความอาจถูกมองว่า-มันอยากดัง ไปโน่น 

เพราะฉะนั้น เราต้องมีเจ้าทุกข์ที่เป็นเจ้าทุกข์ตามหน้าที่โดยตรง ในกรณีนี้ก็เช่นสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด หรือเจ้าคณะจังหวัด เป็นต้น

ใครบอกได้ไหมครับว่า ตามกฎหมายแล้วใครหรือหน่วยงานไหนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ 

ไปๆ มาๆ ทำท่าจะหาผู้รับผิดชอบไม่ได้เอาด้วยซ้ำ 

แบบนี้ถ้าผมเป็นฝ่ายตรงข้าม คือฝ่ายที่จ้องจะทำลายพระพุทธศาสนา ผมจะดีใจมากๆ และจะพยายามให้สังคมไทยคงสภาพเช่นนี้ไว้ให้นานที่สุด-สภาพที่มีคนเยอะ มีทรัพยากรแยะ แต่เอาเข้าจริงหาตัวคนรับผิดชอบไม่ได้ หาคนที่จะลงสนามจริงๆ ไม่ได้-สภาพเช่นนี้จะช่วยให้ผมทำลายพระพุทธศาสนาได้ง่ายดายที่สุด 

๕ ในความเห็นของผม ผู้ที่ควรรับผิดชอบเรื่องแบบนี้ก็คือคณะสงฆ์

คำว่า “คณะสงฆ์” หมายความตั้งแต่มหาเถรสมาคมลงไปจนถึงเจ้าอาวาสรูปสุดท้าย 

พระเถรานุเถระที่เป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการในคณะสงฆ์ไทยมีอยู่เป็นอเนกอนันต์ ที่มีญาติโยมศิษย์หาเคารพนับถือหนาแน่นมั่นคงก็มีอยู่เป็นอเนกอนันต์ ท่านไม่ต้องทำอะไรที่จะเป็นการออกนอกกรอบสมณสารูปหรือพระธรรมวินัยเลย เป็นแต่เพียงทำในสิ่งที่พระวินัยเรียกว่า “ขออารักขา” คือบอกให้โยมคนนั้นท่านคนโน้นช่วยไปดำเนินการอย่างนั้นอย่างโน้นในขอบเขตที่เหมาะสมถูกต้อง – เท่านั้นพอ 

ผมเคยเสนอให้คณะสงฆ์ตั้งกองวิชาการพระพุทธศาสนา 

ผมเชื่อว่าคณะสงฆ์ก็ต้องได้ยินข้อเสนอของผม

แต่ท่านไม่ทำ ท่านไม่เอาด้วย

ถ้าสมมุติว่าขณะนี้มีกองวิชาการพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว ก็สามารถระดมสมองออกมาเป็นแนวทางตอบโต้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้เลยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ คณะสงฆ์ควรดำเนินการอย่างนี้ๆ ๑ ๒ ๓ …

เราก็จะมองเห็นรูปร่าง เค้าโครง ว่าใครต้องทำอะไร

แต่ ณ บัดนี้ ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าใครจะต้องทำอะไร

ได้แต่นั่งมองหน้ากันเฉยๆ 

จากกรณีนี้ผมมีข้อเสนออีกอย่างหนึ่ง คือ คณะสงฆ์หรือคณะชาวพุทธควรจะมีองค์กรทางกฎหมายของคณะสงฆ์ มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการล่วงละเมิดลบหลู่พระพุทธศาสนา ตลอดจนปัญหาทั้งปวงที่เกี่ยวกับกฎหมาย 

พอเกิดเรื่องแบบนี้ องค์กรนี้เข้าจัดการทันที

ไม่ต้องมานั่งมองหน้ากันแล้วไม่รู้ว่าใครจะทำอะไร-อย่างที่กำลังเป็นอยู่ ณ วันนี้

๖ มีผู้อภิปรายประเด็นนี้ว่า ทำไมจะต้องรอให้พระท่านเรียกใช้ ทำไมเราไม่ทำกันเอง

ผมบอกว่าธรรมชาติของโลกนี้ –

– สัตว์ ต้องต้อน

– คน ต้องนำ

สังคมไทย-สังคมชาวพุทธขาดผู้นำ ต้องยอมรับความจริงข้อนี้

เราเคยมีนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายส่งเสริมและปกป้องพระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง

แต่ ณ เวลานี้ไม่มีแล้ว 

ในสมัยที่เรามีนายกรัฐมนตรีปกป้องพระพุทธศาสนา เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น ถึงเกิดก็ไม่ต้องรอให้ใครบอก แต่นายกฯ จะสั่งลงมาเองเลยว่าต้องจัดการเด็ดขาดภายในวันนี้

แต่วันนี้ ต่อให้มีใครยกขบวนไปบอก ท่านก็จะไม่ทำอะไร

เราจึงไม่มีใครที่เดินนำหน้า

แต่ในหมู่สงฆ์ ยังพอมีบารมีที่จะขออารักขาไปยังญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาที่มีพลัง ขอแรงให้ออกมาช่วยดำเนินการพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาได้

พระไม่ต้องทำเอง

แต่พระพูดได้ บอกโยมได้

โยมบอกโยมด้วยกัน ไม่มีใครฟังกัน

แต่พระบอกโยมได้

เวลานี้คณะสงฆ์นิ่งเงียบ-เหมือนกับจะประกาศว่าเรื่องนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์

ถ้ายังคิดว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์

แผ่นดินพระพุทธองค์ก็ถึงกาลอวสาน-แน่นอน

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๕ เมษายน ๒๕๖๑

๑๑:๕๙

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *