เมื่อไรจะลงมือรักษาตัวเอง
เมื่อไรจะลงมือรักษาตัวเอง
—————————-
วันนี้ขออนุญาต “ขึ้นธรรมาสน์” สักวันนะครับ
ญาติมิตรที่ชอบโพสต์ฮอตๆ อ่านเอามันเอาไลค์ โปรด อติจฺฉถ
“อติจฺฉถ” อ่านว่า อะ-ติด-ฉะ-ถะ เป็นคำที่โยมบอกพระที่มาบิณฑบาต แต่โยมยังไม่พร้อมที่จะใส่บาตร
แปลว่า – นิมนต์เลยไปข้างหน้าก่อนเจ้าข้า
…………………..
ในฐานะนักศึกษาที่เคยเรียนคัมภีร์พระพุทธศาสนามาบ้าง เคยปฏิบัติธรรมตามรูปแบบที่จัดเป็น “กิจกรรม” ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน จนถึง ๑ เดือน อย่างที่นิยมทำกันทั่วๆ ไป จนกระทั่งพอจะจับหลักการปฏิบัติธรรมโดยวิธีธรรมชาติในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องปลีกเวลาหรือปลีกตัว และไม่ต้องติดอยู่กับพิธีการ
ในฐานะดังที่กล่าวมานี้ ผมได้ข้อยุติว่า —
…………………..
พระพุทธศาสนาคือยารักษาโรค
เราชาวพุทธหรือผู้ที่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา-ที่ยังมีโลภโกรธหลง คือคนป่วย
หน้าที่ของเราคือใช้ยารักษาโรค จนกว่าโรคจะหาย
ถ้าเราเข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนาแล้วมัวทำธุระอย่างอื่น ไม่ได้ลงมือใช้ยารักษาโรค นั่นคือเรากำลังเบี่ยงเบือนเชือนแช
นี่เป็นข้อยุติของผม
…………………..
ทุกวันนี้ เรากำลังศึกษาพระพุทธศาสนากันอย่างอึกทึกคึกคัก
ผมกำลังคิดคำนึงถึงหลักการศึกษาศาสนา-ปรัชญาของนักวิชาการสมัยใหม่ที่เขาบอกว่า เราต้องเปิดใจ หรือเราต้องใจกว้างศึกษาลัทธิศาสนาปรัชญาอื่นๆ ด้วย เพื่อเปรียบเทียบกัน ไม่ใช่งมอยู่กับศาสนาของตัวเองอย่างเดียว
คำนี้สำคัญมากนะครับ-ไม่ใช่งมอยู่กับศาสนาของตัวเองอย่างเดียว
ใครศึกษาเฉพาะศาสนาของตัวเองจะถูกตำหนิว่า “งม” คือใจแคบ ไม่เปิดหูเปิดตาเปิดใจให้ทันโลก
ฟังแล้วก็รู้สึกชอบกลๆ
ก็ในเมื่อคำสอนในพระศาสนาของเราประเสริฐสุดแล้ว และท่านก็ยืนยันว่าสมณะภายนอกไม่มี (“อิโต พหิทฺธา สมโณปิ นตฺถิ” – มหาปรินิพพานสูตร ๑๐/๑๓๙) แล้วเรายังจะต้องไปเสียเวลาศึกษาลัทธิศาสนาปรัชญาอื่นๆ เพื่อประโยชน์อะไร?
พระนาคิตเถระมหาสาวกองค์หนึ่งกล่าวภาษิตไว้ว่า
…………………..
อิโต พหิทฺธา ปุถุอญฺญวาทินํ
มคฺโค น นิพฺพานคโม ยถา อยํ
อิติสฺสุ สงฺฆํ ภควานุสาสติ
สตฺถา สยํ ปาณิตเลว ทสฺสยํ.
ในลัทธิภายนอกพระศาสนานี้
ไม่มีทางไปสู่พระนิพพานเหมือนอริยมรรคนี้เลย
พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระบรมครู –
ทรงพร่ำสอนภิกษุสงฆ์ด้วยพระองค์เองดังนี้
เหมือนทรงชี้ผลมะขามป้อมบนฝ่าพระหัตถ์ฉะนั้น
(นาคิตเถรคาถา ๒๖/๒๒๓)
…………………..
ผมพอจะเข้าใจว่า นักวิชาการเขามุ่งแต่ความปราดเปรื่องเรืองปัญญา รู้รอบหมดทุกลัทธิ ทั้งนี้เพื่อเอาไว้แสดงโวหารกันในกรอบวิชาการ
ใครแสดงโวหารได้รอบด้าน รู้ไปหมดทุกลัทธิศาสนาปรัชญาที่มีคนคิดอ่านเสนอขึ้นในโลก เปรียบเทียบ แยกแยะได้เป็นฉากๆ
คนนั้นสุดยอด เป็นยอดปราชญ์
แต่พระพุทธศาสนามิได้มีไว้เพื่อความประสงค์เช่นนั้นเลย
การบอกให้เปิดใจศึกษาลัทธิศาสนาปรัชญาอื่นๆ ด้วย จะมิเป็นการเพริดออกนอกทางไปดอกหรือ?
กลายเป็นรู้เพื่อรู้ รู้เพื่อเอาไว้แสดงความรู้ให้แก่คนที่ต้องการรู้เพื่อรู้ต่อๆ ไปอีก
มิใช่รู้เพื่อนำไปสู่การรักษาโรคของตนเอง
……………….
มีพระสูตรหนึ่งที่ชาวพุทธน่าจะรู้จักกันค่อนข้างดี คือพระสูตรที่กล่าวถึงคนถูกศรแล้วไม่ยอมให้หมอรักษาจนกว่าจะสืบรู้เสียก่อนว่าใครเป็นคนยิง รวมทั้งรายละเอียดทั้งหมดของคนยิงและของลูกศร
พระสูตรนี้ชื่อ จูฬมาลุงกยโอวาทสูตร เรียกกันสั้นๆว่า มาลุงกยสูตร อยู่ในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๓ ข้อ ๑๔๗-๑๕๒
ท่านผู้ใดมีอุตสาหะ โปรดเดินตามป้ายบอกทางไปศึกษาดูเถิด
เป็นเรื่องของพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อมาลุงกยบุตร บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาด้วยหวังว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสสอนปรัชญาเกี่ยวโลกและชีวิตที่ตนอยากรู้ทั้งหมด ๑๐ หัวข้อ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงอธิบายปรัชญาเหล่านี้ตนก็จะลาสิกขา-เป็นเชิงฟ้องว่าพระพุทธศาสนาไร้สาระ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสเปรียบเทียบกับคนถูกศรแล้วไม่ยอมให้หมอรักษาจนกว่าจะสืบรู้เสียก่อนว่าใครเป็นคนยิง ตรัสว่ากว่าจะสืบรู้ได้หมดเขาคนที่ถูกศรเสียบก็คงตายไปเสียก่อน
เหมือนคนที่คิดว่าจะต้องศึกษาลัทธิศาสนาปรัชญาต่างๆ ให้ทั่วถึงก่อนก็คงจะตายเสียก่อน ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะรู้ทฤษฎีปรัชญาลัทธิศาสนาต่างๆ หรือไม่รู้ สภาพแห่งความทุกข์ประจำชีวิตก็ยังคงมีอยู่เป็นอยู่เหมือนเดิมนั่นเอง หน้าที่ของเราคือลงมือประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความสิ้นไปแห่งเหตุปัจจัยแห่งทุกข์ เหมือนคนถูกศรต้องรีบถอนศรออกแล้วรักษาแผลให้หาย ไม่ใช่มัวไปเสียเวลาสืบถามประวัติคนยิง
ในที่สุดพระพุทธองค์ตรัสย้ำว่า “อิโต พหิทฺธา สมโณปิ นตฺถิ” (มหาปรินิพพานสูตร ๑๐/๑๓๙) แปลว่า นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว ลัทธิปรัชญาศาสนาอื่นไม่มีสมณะ คือไม่มีผู้บรรลุธรรม
……………….
ถ้าว่ากันตามหลัก การที่เราเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาก็คือเราตกลงใจว่าจะใช้ยาขนานนี้รักษาโรคที่เราป่วยอยู่
แต่แล้วเรากลับบอกกันว่า จะต้องใจกว้างศึกษาลัทธิศาสนาปรัชญาอื่นๆ ด้วย เพื่อเปรียบเทียบกัน ไม่ใช่งมอยู่กับศาสนาของตัวเองอย่างเดียว
ก็คือบอกว่า เราจะต้องศึกษายาขนานอื่นๆ อีกด้วย เพื่อเปรียบเทียบว่ายาขนานไหนมีสรรพคุณอย่างไร เหมาะที่จะใช้รักษาโรคที่เราป่วยอยู่นี้มากน้อยเพียงไร
อ้าว เป็นงั้นไป
กลายเป็นว่า-ยังไม่รู้ว่าจะใช้ยาขนานไหนไปเสียอีกแล้ว
เท่าที่เป็นมา การที่ใครไปศึกษาลัทธิปรัชญาศาสนาของใคร ถ้ามิใช่เพื่อเลือกหายาที่เหมาะแก่โรคของตน ก็เพื่อหาเหตุผลไปหักล้างกัน
เช่นพระเจ้ามิลินท์ศึกษาพระพุทธศาสนาจนแตกฉานก็เพื่อรุกรานพระพุทธศาสนาให้ยอมจำนน
ท่านคุณานันทะแห่งศรีลังกาศึกษาศาสนาคริสต์จนแตกฉานก็เพื่อตีโต้ตอบศาสนาคริสต์ที่ข่มขี่พระพุทธศาสนา
แล้วชาวเราทุกวันนี้ชวนกันศึกษาลัทธิศาสนาปรัชญาอื่นๆ เพื่อเอาไปทำอะไรกับใคร?
ถ้าตอบว่ามิได้มีเจตนาจะเอาไปทำอะไรกับใคร แต่เพื่อความรอบรู้เรืองปัญญา
ถ้าเช่นนั้นก็จะอยู่ในฐานะ-แสวงหายาขนานที่เหมาะแก่โรคของตน
ลืมไปว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า พระพุทธศาสนาเป็นยาขนานที่ประเสริฐที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปแสวงหายาขนานไหนอีกแล้ว ลงมือใช้กันเลย
……………….
เหตุผลที่เรายกขึ้นมาอ้างอีกอย่างหนึ่งก็คือ-นี่มันเป็นมาตรฐานการศึกษาของสังคมโลก สถาบันไหนๆ เขาก็เรียนลัทธิศาสนาปรัชญาต่างๆ กันทั้งนั้น เราจะอยู่ในสังคมโลกอย่างทัดเทียมกับเขา เราก็ต้องเรียนตามมาตรฐานของเขา ที่ไหนๆ เขาก็ยอมรับกันทั้งนั้น
ไม่มีใครเขาขวางโลกเหมือนคุณหรอก
ขอเรียนว่า ผมไม่ได้ขวางโลกนะครับ และไม่ได้ขวางทางใครด้วย ผมเพียงเสนอแนวคิดตามช่องทางและเหตุผลที่โลกยอมรับกันอยู่แล้วว่า-สังคมที่เจริญแล้วย่อมมีใจกว้าง ยอมรับฟังความเห็นต่าง
ผมเพียงแต่บอกว่า พระพุทธศาสนาเหมือนยารักษาโรค เรามาพบยาขนานเอกแล้ว ควรลงมือใช้ยารักษาโรคของแต่ละคนโดยพลัน
แต่ใครต้องการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสรรพคุณยา อธิบายสรรพคุณยาได้คล่อง
หรือใครอยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร รู้แหล่งกำเนิด รู้ธรรมชาติของสมุนไพรแต่ละชนิด รู้วิธีปลูกเลี้ยงและวิธีเก็บมาทำยาเป็นอย่างดี
หรือใครปรารถนาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยา ตั้งโรงงานผลิตยา จำหน่ายยา
หรือใครจะเห็นพระพุทธศาสนาเป็นขุมสมบัติแหล่งแสวงหาอะไรอีก – ก็เชิญตามสบาย ไม่มีใครไปขวางทางใคร
ทางใครทางมัน
คนที่มีสติปัญญา มองเห็นพระพุทธศาสนาเป็นยารักษาโรค แล้วลงมือใช้ยารักษาโรคของตน จนได้รับผลเป็นคนปลอดโรค มีความผาสุกสบายไปเงียบๆ ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่เป็นอเนกอนันต์ ดังที่เราท่านนิยมยกขึ้นมาเชิดชูบูชากันอยู่ทั่วไป
ใครกำลังขะมักเขม้นใช้ยารักษาโรคอยู่ ก็ขออนุโมทนา
ใครยังไม่ได้ลงมือใช้ ก็ควรจะถามตัวเอง
ป่วย ก็กำลังป่วยอยู่
ยาดีก็เจอแล้ว
วิธีใช้ยาก็เรียนรู้แล้ว
เมื่อไรจะลงมือรักษาตัวเอง
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓
๑๗:๒๕
…………………………….
…………………………….