สตรีกับดอกไม้
สตรีกับดอกไม้ (๑๔)
สตรีกับดอกไม้ (๑๔)
—————————–
และคิดต่อไปถึงศีลกับธรรม
…………………….
บัวเหล่าไหน
…………………….
ย้อนกลับมาที่เรื่องสตรีกับดอกไม้ และศีลกับธรรม
เมื่อเอาหลักศีลกับธรรมเข้าไปจับ จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติกิจเพื่อสืบพืชพันธุ์ตามโลกียวิสัยนั้น จะผิดศีลก็ต่อเมื่อไปปฏิบัติกับบุคคลที่ต้องห้าม หรือปฏิบัติในวันเวลาที่ตั้งใจงดเว้นเท่านั้น
ศีลไม่ได้ตามไปห้าม หรือล้วงลึกไปถึงความรู้สึกนึกคิดหรือวัตถุประสงค์ในการกระทำ
ตัวอย่างเช่น การไม่ดื่มสุรา
ทันทีที่ตั้งใจงดเว้นไม่ดื่ม ก็เป็นศีลเรียบร้อยแล้ว
แม้ไม่ได้ตั้งใจงด แต่ตลอดเวลาที่ไม่ดื่ม ก็เป็นศีลเช่นกัน
ศีลไม่ได้ตามไปตรวจสอบว่า ไม่ดื่มเพราะอะไร
ถ้าไม่ดื่มเพราะรับศีลกับพระไว้ จึงจะถือว่าเป็นศีล
แต่ถ้าไม่ดื่มเพราะหมอห้าม
ไม่ดื่มเพราะเกรงใจคู่ครอง
ไม่ดื่มเพราะไม่มีสุราจะดื่ม
หรือไม่ดื่มเพราะไม่อยากจะดื่มขึ้นมาเฉยๆ
อย่างนี้ไม่นับว่าเป็นศีล
ไม่ใช่เช่นที่ว่านี้เลยครับ
ดังนั้น การกระทำเช่นนั้น – คือการร่วมประเวณีโดยมีวัตถุประสงค์อื่น มิใช่เพื่อที่จะให้มีลูก เช่นเพื่อสนองตัณหาราคะ หรือเพื่อความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังสัมผัส
แม้นักคิดท่านจะบอกว่าเป็นการผิดธรรมะ
แต่เมื่อมันไม่ผิดศีล ก็จะเป็นไรไปเล่า-ถ้าเรายังอยากจะทำ
เหมือนอาบน้ำแล้วไม่ประแป้ง
ก็ไม่ผิดอะไรนี่ครับ
แต่ทั้งนี้เราก็ควรจะรับรู้รับทราบและตระหนักด้วยนะครับว่า การอาบน้ำแล้วไม่ประแป้งนั้น ถึงจะไม่ได้ผิดตรงไหนก็จริง
แต่ถ้าอาบน้ำแล้วประแป้งด้วยก็จะดียิ่งขึ้น
ถ้าเราอยากจะ “ดียิ่งขึ้น” เราก็ควรประแป้งด้วย
เมื่อเรายังเป็นปุถุชน ยังทำตนให้เหมือนพระอริยะไม่ได้
เราก็ตั้งใจทำดีตามวิสัยปุถุชนไปก่อน
แต่ท่านก็แนะไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาทั้งที ตั้งเป้าหมายที่จะทำความดีให้สูงเข้าไว้ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
วันนี้ชาตินี้ยังไปไม่ถึง
แต่ถ้าได้ลงมือนับหนึ่งไว้แล้ว
ชาติหน้าและชาติต่อๆ ไปก็ต้องถึงเข้าสักวัน
สังสารวัฏยังยาวไกล
โอกาสที่จะพัฒนาจิตใจให้สูงสุดได้ก็ยังมีอีกยาวนาน
พระพุทธเจ้าผู้ตั้งพระพุทธศาสนานั้นท่านเป็นมนุษย์เหมือนเรานี่เอง
ถ้าจะพูดเลียนแบบวาทะคนดังสักหน่อยก็ต้องพูดว่า –
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของมนุษย์
โดยมนุษย์
และเพื่อมนุษย์
เพราะฉะนั้น จึงไว้วางใจได้ว่า คำสอนของท่าน มนุษย์ย่อมสามารถปฏิบัติตามได้อย่างแน่นอน
ข้อสำคัญอย่าเข้าใจไปว่า อะไรที่เรายังไม่ได้ทำ เพราะยังไม่อยากทำ หรือยังทำไม่ได้นั้น คนอื่นๆ ก็คงจะไม่อยากทำ หรือก็คงจะทำไม่ได้เหมือนเรานี่แหละ
คนที่อยากทำ มี
คนที่ทำได้ ก็มี
…………….
พระพุทธเจ้าท่านเป็นมนุษย์ต้นแบบ
คือเดิมท่านก็เป็นมนุษย์ธรรมดา
มีกิเลส โลภโกรธหลงเหมือนกับเรา เท่ากับเราทุกอย่าง
แล้วท่านก็พัฒนาตัวท่านซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดานั้นไปสู่ความสิ้นกิเลส เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรมได้
เป็นการพิสูจน์ว่า มนุษย์สามารถพัฒนาให้สูงสุดได้จริงๆ
แล้วท่านก็แสดงวิธีทำให้ดู
แล้วก็มีมนุษย์ธรรมดาอย่างเรานี่แหละทำตาม
แล้วก็สิ้นกิเลส
เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรมได้จริงอีกเป็นจำนวนมาก
ที่ว่ามานี้คืออะไร
ที่ว่ามานี้ก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
หรือพระรัตนตรัยนั่นเอง
ผู้รู้ท่านบอกว่า การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้นอย่าเพียงแต่เปล่งวาจาว่า –
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเจ้าเป็นที่พึ่ง
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
แต่ให้คิดนึกตรึกตรองดังที่ว่ามานี้ด้วย
คิดอย่างนี้ก็จะเกิดพลังจิต มีกำลังใจที่จะปฏิบัติตาม
จนกระทั่งบรรลุความดีอันสูงสุดที่มนุษย์สามารถบรรลุได้
โดยมีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวนำทาง
เหมือนบัวที่เกิดจากโคลนตม
แล้วค่อยๆ เจริญเติบโต
ผุดโผล่ขึ้นพ้นน้ำ รอรับแสงอรุณ
เพื่อจะเป็นบัวบานในวันต่อไป
ข้อสำคัญ อย่าหยุดพัฒนา ปล่อยตัวให้เป็นภักษาหารเต่าปลาไปเสียก่อน-เท่านั้นแหละ
…………….
เรื่องราวเค้าความตามที่ได้บรรยายมาก็น่าจะจบลงตรงนี้
(ตอนหน้า-จบ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓
๑๑:๓๙
…………………………
สตรีกับดอกไม้ (๑๕)
………………………….
สตรีกับดอกไม้ (๑๓)
………………………….