คิดเฟื่องเรื่องอยู่ปริวาส (๒)
คิดเฟื่องเรื่องอยู่ปริวาส (๒)
—————————
สรุปว่า –
อาบัติปาราชิก ทำผิดเข้าแล้วหมดสภาพความเป็นพระทันที แม้จะไม่มีใครรู้เห็น และยังนุ่งห่มจีวรอยู่ ก็เข้าลักษณะ “ลักเพศ” คือตัวเองไม่มีสิทธิ์เป็นพระต่อไปอีกแล้ว แต่ขโมยเพศพระมาใช้ อยู่ในฐานะหลอกลวงชาวบ้านเท่านั้นเอง
อาบัติสังฆาทิเสส เป็นอาบัติหนักก็จริง แต่ทำผิดเข้าแล้วยังไม่หมดสภาพความเป็นพระ คือยังพอแก้ไขได้ โดยพระที่ทำผิดต้องทำตามระเบียบปฏิบัติหรือตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในพระวินัย ที่ท่านใช้คำว่า “ต้องอยู่กรรมจึงพ้นได้”
ระเบียบปฏิบัตินี้ เรียกเป็นคำพระว่า “วุฏฐานวิธี” (วุด-ถา-นะ-วิ-ที) เป็นกระบวนการลงโทษเยี่ยงอารยชนต่อผู้ทำผิดฐานครุโทษ คือโทษหนัก
พระที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถ้าสารภาพผิดทันทีที่ทำผิด ก็จะเข้าสู่กระบวนการลงโทษ มีขั้นตอน คือ –
……………….
๑ มานัต
……………….
มานัต แปลตามศัพท์ว่า “นับ”
หมายถึงเริ่มนับวันที่ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองในความควบคุมของสงฆ์ นิยมพูดว่า “ประพฤติมานัต”
จำนวนวันที่จะต้องประพฤติมานัตคือ ๖ วัน
ประพฤติมานัตคือทำอะไร?
ประพฤติมานัตคือการลงโทษตัวเอง เช่น
– นั่งนอนร่วมกับภิกษุอื่นไม่ได้ ต้องแยกบริเวณอยู่ต่างหาก มีฐานะคล้ายคนเป็นโรคที่อาจติดต่อไปยังคนอื่นได้ จึงต้องแยกไม่ให้อยู่ปนกับใครๆ
– ถูกตัดสิทธิ์ เช่นระหว่างประพฤติมานัต มีกิจนิมนต์ และพระที่ประพฤติมานัตนั้นอยู่ในลำดับที่จะต้องได้ไปในกิจนิมนต์นั้น ก็จะถูกตัดออกจากลำดับการรับนิมนต์
– ลดฐานะตัวเอง เช่น หากจะต้องมารวมในที่ชุมนุมสงฆ์ ถ้าเป็นพระผู้ใหญ่ ก็ต้องไปนั่งท้ายแถว รับไหว้จากพระด้วยกันไม่ได้ เป็นต้น
– ประจานตัว เช่น ถ้ามีพระอาคันตุกะเข้ามาในวัด พระที่ประพฤติมานัตต้องไปรายงานตัวว่า ตนต้องอาบัติหนัก อยู่ในระหว่างถูกลงโทษ
ถ้าจะเปรียบ “ประพฤติมานัต” ก็คล้ายกับที่เรียกว่า “คุมประพฤติ” นั่นเอง
……………….
๒ อัพภาน
……………….
อัพภาน แปลว่า “การเรียกเข้า” “การรับกลับเข้าหมู่”
คือเมื่อภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสได้ประพฤติมานัตอันเป็นการทำโทษตนเองตามเวลาที่กำหนดเสร็จแล้ว สงฆ์จะประชุมกันเพื่อพิจารณาให้กลับคืนเป็นผู้บริสุทธิ์ดังเดิม
ตามพระวินัยกำหนดไว้ว่า ในการทำกรรมวิธีหรือ “สังฆกรรม” ที่เรียกว่า “อัพภาน” นี้ ต้องมีภิกษุอย่างต่ำ ๒๐ รูปเข้าร่วมจึงจะถือว่าเป็นองค์ประชุม
ถึงตรงนี้ บางท่านคงจะพอนึกออกว่า ในการสร้างโบสถ์นั้นมีข้อกำหนดข้อหนึ่ง คือภายในโบสถ์ต้องมีความกว้างที่สามารถจุภิกษุได้อย่างน้อย ๒๐ รูป
ตัวเลขจำนวน ๒๐ รูปมาจากไหน? ก็มาจากจำนวนภิกษุที่เป็นองค์ประชุมในสังฆกรรมที่ชื่อ “อัพภาน” นี้เอง
กระบวนการตามปกติเพื่อพ้นจากอาบัติสังฆาทิเสสก็มี ๒ ขั้นตอน คือ มานัต และอัพภาน เท่านี้
……………….
๓ ปริวาส
……………….
ปริวาส มีความหมายว่า “การอยู่ค้างคืน” “การอยู่แรมคืน”
พึงเข้าใจว่า สังคมสงฆ์เป็นสังคมแห่งอารยชน ผู้เข้ามาเป็นสมาชิกเข้ามาด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ อยู่กันด้วยกฎกติกาคือศีลหรือระเบียบวินัย ให้เกียรติกันบนพื้นฐานแห่งสัญญาสุภาพบุรุษ ใครละเมิดกติกา ก็ต้องหน้าบางพอที่จะสารภาพผิดได้ทันที
แต่ถ้าพระที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ ไม่สารภาพผิดทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด เรื่องมาแดงขึ้นทีหลังจะโดยนึกละอายใจจึงสารภาพออกมาเองหรือถูกจับได้ก็ตาม จะต้องถูกลงโทษด้วยการ “อยู่ปริวาส” ก่อน จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการแก้ไขตามปกติที่เริ่มต้นด้วย “มานัต” ได้
ลักษณะที่เรียกว่า “อยู่ปริวาส” ก็คือต้องปฏิบัติตนเช่นเดียวกับ “ประพฤติมานัต” นั่นเอง
ปกปิดไว้กี่วัน ก็ต้องอยู่ปริวาสตามจำนวนวันที่ปกปิดไว้ เมื่อครบวันแล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนปกติ คือ “มานัต” ต่อไป
อุปมาอาจจะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
เหมือนการเสียภาษีอะไรสักอย่างที่ให้ชำระภายในเวลาที่กำหนด ถ้าเกินเวลาก็ต้องถูกปรับ คือต้องเสียค่าปรับด้วย และเสียภาษีตามปกติด้วย
“ปริวาส” เปรียบเหมือนค่าปรับ
“มานัต” เหมือนเสียภาษีตามปกติ
“อยู่ปริวาส” ก็เหมือนเสียค่าปรับก่อนที่จะเสียภาษีนั่นเอง
ถ้าชำระภาษีตรงตามเวลาที่กำหนด ก็ไม่ต้องเสียค่าปรับ
ถ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว ยอมรับโดยเปิดเผยทันที ไม่ได้ปกปิดไว้ ก็ไม่ต้องอยู่ปริวาส
ฉันใดก็ฉันนั้น
……………….
๔ ปฏิกัสสนา
……………….
ปฏิกัสสนา แปลว่า “ถอยกลับ” “กลับไปตั้งต้นใหม่”
คือในระหว่างอยู่ปริวาสหรือประพฤติมานัตนั้น หากไปประพฤติผิด คือต้องอาบัติสังฆาทิเสสซ้ำเข้าอีก จะต้องนับหนึ่งกันใหม่ คือกลับไปอยู่ปริวาสหรือประพฤติมานัตตั้งแต่เริ่มต้นไปใหม่
มานัต อัพภาน ปริวาส ปฏิกัสสนา เป็นศัพท์เทคนิคทางวินัยสงฆ์
คำเหล่านี้เพียงฟังไว้ ถ้าสนใจก็หาความรู้เพิ่มเติมต่อไป
ในที่นี้จะว่าเฉพาะ “ปริวาส” อันเป็นที่มาของปัญหา
………….
(มีต่อ)
………….
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๕
๑๗:๑๑
…………………………………………..
คิดเฟื่องเรื่องอยู่ปริวาส (๒)
…………………………….
…………………………….