อปโลกนกรรม (บาลีวันละคำ 4,084)
อปโลกนกรรม
ย้ำกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจ
อ่านว่า อะ-ปะ-โล-กะ-นะ-กำ
ประกอบด้วยคำว่า อปโลกน + กรรม
(๑) “อปโลกน”
อ่านว่า อะ-ปะ-โล-กะ-นะ รากศัพท์มาจาก อป (คำอุปสรรค = ปราศจาก, หลีกออก) + โลกฺ (ธาตุ = เห็น, ดู, แลดู) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)
: อป + โลกฺ = อปโลกฺ + ยุ > อน = อปโลกน แปลตามศัพท์ว่า “การมองออกไป” หมายถึง การขออนุญาต, การบอกลา; คำปรึกษาหารือ (permission, leave; consultation)
“อปโลกน” ออกจากคำกริยาว่า “อปโลเกติ”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อปโลเกติ” ไว้ดังนี้ –
(1) to look ahead, to look before, to be cautious, to look after (แลดู, มองดูข้างหน้า, ระมัดระวัง, ดูแล)
(2) to look up to, to obtain permission from; to get leave, to give notice of (บอกลา, ได้รับอนุญาต; ได้รับอนุมัติ, ประกาศให้ทราบ)
“อปโลกน” ในภาษาไทยใช้เป็น “อปโลกน์” และมักออกเสียงเพี้ยนเป็น “อุปโลกน์” (อุบ-ปะ-โหฺลก)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
(1) อปโลกน์ ๑, อุปโลกน์ : (คำกริยา) ยกกันขึ้นไป เช่น อุปโลกน์ให้เป็นหัวหน้า. (ป. อปโลกน).
(2) อปโลกน์ ๒ : (คำวิเศษณ์) ที่บอกเล่า เช่น คําอปโลกน์. (ป. อปโลกน).
(๒) “กรรม”
บาลีเป็น “กมฺม” อ่านว่า กำ-มะ สันสกฤตเป็น “กรฺม” (กระ-มะ, ก ควบ ร กลืนเสียง ระ ลงคอ) ไทยเขียนอิงสันสกฤตเป็น “กรรม”
“กมฺม” รากศัพท์มาจาก กรฺ (ธาตุ = กระทำ) + รมฺม (รำ-มะ, ปัจจัย) ลบ รฺ ที่สุดธาตุและ ร ที่ต้นปัจจัย
: กร > ก + รมฺม > มฺม : ก + มฺม = กมฺม
“กมฺม” แปลว่า การกระทำ, สิ่งที่ทำ, การงาน (the doing, deed, work) นิยมพูดทับศัพท์ว่า “กรรม”
อปโลกน + กมฺม = อปโลกนกมฺม (อะ-ปะ-โล-กะ-นะ-กำ-มะ) แปลว่า “กรรมคือการแจ้งให้ทราบ”
ขยายความ :
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อปโลกนกมฺม” ว่า proposal of a resolution, obtaining leave (การแจ้งให้ทราบ, การได้รับอนุญาต)
“อปโลกนกมฺม” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อปโลกนกรรม” คำนี้ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต แปล “อปโลกนกรรม” เป็นอังกฤษไว้ดังนี้ –
Apalokanakamma : the act of obtaining consent or permission by consultation.
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ขยายความคำว่า “อปโลกนกรรม” ไว้ดังนี้ –
…………..
อปโลกนกรรม : กรรมคือการบอกเล่า, กรรมอันทำด้วยการบอกกันในที่ประชุมสงฆ์ ไม่ต้องตั้งญัตติ คือคำเผดียง ไม่ต้องสวดอนุสาวนา คือประกาศความปรึกษาและตกลงของสงฆ์ เช่นประกาศลงพรหมทัณฑ์ นาสนะสามเณรผู้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า อปโลกน์แจกอาหารในโรงฉัน เป็นต้น.
…………..
อภิปราย :
ในการทำบุญวันพระตามวัดทั่วไป มีการถวายภัตตาหารให้เป็นของสงฆ์ เรียกรู้กันว่า “ถวายสังฆทาน” เมื่อกล่าวคำถวายแล้ว ภิกษุรูปหนึ่งจะกล่าวคำที่มักเรียกกันว่า “อปโลกน์” คือการประกาศว่าสงฆ์จะทำอย่างไรกับของที่มีผู้ถวายเป็นของสงฆ์
การประกาศนั่นแลคือ “อปโลกนกรรม”
อปโลกนกรรมแจกอาหาร หรืออปโลกน์หลังถวายสังฆทาน มีข้อความดังนี้ –
…………..
(ตั้งนะโมสามจบ)
อยํ ปฐมภาโค เถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสา ภาคา อมฺหากํ ปาปุณนฺติ
ทุติยมฺปิ … ฯเปฯ … อมฺหากํ ปาปุณนฺติ
ตติยมฺปิ … ฯเปฯ … อมฺหากํ ปาปุณนฺติ.
…………..
ความหมายในคำอปโลกน์นั้นมีอยู่ว่า – สิ่งของส่วนแรกนี้ยกให้แก่พระเถระ (คือพระภิกษุที่เป็นประธานอยู่ในที่ประชุมนั้น) ส่วนที่เหลือตกเป็นของพวกเราคือพระสงฆ์สามเณรทั้งหลาย
บางแห่งมีคำอปโลกน์เป็นภาษาไทยด้วย มีสำนวนน่าฟังดี ขอยกมาสู่กันฟังดังนี้ –
…………..
ยคฺเฆ ภนฺเต สงฺโฆ ชานาตุ ขอพระสงฆ์ทั้งปวงจงฟังคำข้าพเจ้า
บัดนี้ ทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธาได้น้อมนำมาซึ่งภัตตาหารมาถวายเป็นสังฆทานแก่พระภิกษุสงฆ์ อันว่าสังฆทานนี้ย่อมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ สมเด็จพระพุทธองค์จะได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นของภิกษุรูปหนึ่งรูปใดก็หามิได้ เพราะเป็นของได้แก่สงฆ์ทั่วสังฆมณฑล พระพุทธองค์ตรัสว่าให้แจกกันตามบรรดาที่มาถึง
ฉะนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าจะสมมติตนเป็นผู้แจกของสงฆ์ พระสงฆ์ทั้งปวงจะเห็นสมควรหรือไม่เห็นสมควร ถ้าเห็นว่าไม่เป็นการสมควรแล้วไซร้ ขอจงได้ทักท้วงขึ้นในท่ามกลางสงฆ์อย่าได้เกรงใจ ถ้าเห็นว่าเป็นสมควรแล้วก็จงเป็นผู้นิ่งอยู่ (หยุดนิดหนึ่ง) บัดนี้ พระสงฆ์ทั้งปวงนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าจักรู้ได้ว่าเป็นการสมควรแล้ว จะได้ทำการแจกของสงฆ์ต่อไป ณ กาลบัดนี้
อยํ ปฐมภาโค มหาเถรสฺส ปาปุณาติ ส่วนที่ ๑ ย่อมถึงแก่พระเถระผู้ใหญ่ผู้อยู่เหนือข้าพเจ้า
อวเสสา ภาคา อมฺหากํ ปาปุณนฺติ ส่วนที่เหลือจากพระเถระผู้ใหญ่แล้วย่อมถึงแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายตามบรรดาที่มาถึงพร้อมกันทุกๆ รูป (ตลอดถึงสามเณรด้วย) เทอญ
…………..
บางท่านเข้าใจว่า ถวายสังฆทาน ถ้าไม่อปโลกน์ก็ไม่เป็นสังฆทาน
จะเห็นได้ว่า ใจความในคำอปโลกน์ก็เป็นแต่เพียงสงฆ์ตกลงกันว่าจะแจกของกันอย่างไรเท่านั้น
สิ่งของ (ทั้งของฉันและของใช้) เมื่อผู้ถวายตั้งเจตนาถวายให้เป็นของสงฆ์และได้มอบถวายไปเสร็จแล้ว ก็เป็น “สังฆทาน” ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าสงฆ์จะต้องทำอปโลกนกรรม (อปโลกน์) เสียก่อนจึงจะสำเร็จเป็นสังฆทาน
อปโลกนกรรม จึงมิใช่พิธีกรรมเพื่อทำของสิ่งนั้นให้เป็นของสงฆ์ หรือเพื่อให้สำเร็จเป็นสังฆทาน ดังที่บางคนเข้าใจ
บางท่านไปทำบุญวันพระที่วัด ถ้าวัดไหนไม่อปโลกน์ ก็จะไม่กินข้าววัดนั้น อ้างว่ากินของสงฆ์เป็นบาป เนื่องจากสงฆ์ยังไม่ได้อนุญาตด้วยการอปโลกน์
เพราะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า ต้องอปโลกน์เสียก่อนญาติโยมชาวบ้านจึงจะสามารถรับประทานอาหารหลังจากพระสงฆ์ฉันแล้วได้ บางวัดจึงเพิ่มข้อความในคำอปโลกน์ที่เป็นภาษาไทยเข้าไปอีก เช่นว่า …. เมื่อพระสงฆ์ฉันแล้ว อาหารเหล่านี้ขอให้ตกเป็นของญาติโยมอุบาสกอุบาสิการับประทานกันต่อไป …. อะไรทำนองนี้
ความจริงแล้ว อาหารที่เหลือจากพระสงฆ์ฉัน ไม่ว่าจะเป็นของที่ตักฉันแล้วหรือไม่ได้ตักฉันเลยก็ตาม (เว้นไว้แต่ส่วนที่เก็บกันเอาไว้ฉันมื้อเพล) เป็นของที่เรียกว่า “เป็นเดน” โดยหลักพระวินัยแล้วพระสงฆ์จำต้องสละสิทธิ์ คือต้องทิ้งไป เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระจะอปโลกน์หรือไม่อปโลกน์ ญาติโยมชาวบ้านก็สามารถรับประทานได้อยู่แล้ว มิใช่ว่าต้องอปโลกน์เสียก่อนจึงจะรับประทานได้
ศึกษาดูคำอปโลกน์ที่เป็นภาษาบาลีก็จะเห็นได้แล้วว่า เป็นคำที่สงฆ์ท่านแจกของกัน ไม่เกี่ยวกับเรื่องอนุญาตให้ญาติโยมรับประทานได้แต่ประการใดเลย
อปโลกนกรรมแจกอาหารจึงไม่ใช่พิธีกรรมเพื่อทำให้ญาติโยมชาวบ้านสามารถรับประทานอาหารที่ถวายเป็นของสงฆ์แล้วได้ ดังที่บางคนเข้าใจ
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ผลประโยชน์ส่วนตัวแจกให้ใครก็ได้
: ผลประโยชน์ของแผ่นดินไทยต้องแจกให้ประชาชน
#บาลีวันละคำ (4,084)
18-8-66
…………………………….
…………………………….