กล่องนมบนทางเท้า
———————
ผมเดินออกกำลังทุกเช้า ก็เลยได้เห็นอะไรๆ เป็นกำไรชีวิตทุกวัน
เช้านี้ผมเดินผ่านร้านขายดอกไม้แห้ง เห็นคนขายซึ่งคงจะเป็นเจ้าของร้านด้วย กำลังเอากระเช้าดอกไม้ออกมาแขวนหน้าร้าน
ที่ประตูร้านมีเด็กหญิงตัวเล็กยืนอยู่ ก็คงจะเป็นลูก กำลังดูดนมกล่อง
หนูน้อยดูดนมกล่องหมดแล้วก็โยนกล่องนมทิ้งบนทางเท้าหน้าร้าน
ผมชะลอฝีเท้า ทำท่าสนใจกระเช้าดอกไม้
แต่ที่จริงผมสนใจอยากดูว่าผู้เป็นแม่จะทำอย่างไร
เธอเดินผ่านกล่องนมเข้าประตูไปเฉยๆ แล้วก็หิ้วกระเช้าดอกไม้ออกมาแขวนต่อไป
เหมือนไม่เห็น แต่ผมรู้ว่าเธอเห็น
ผมลังเลอยู่ชั่วอึดใจ
ใจหนึ่งอยากเข้าไปบอกหนูน้อย
ใจหนึ่งอยากเข้าไปบอกผู้เป็นแม่
ผมวาดภาพ
ถ้าผมเข้าไปบอกเด็ก จะถูกมองว่าอย่างไร
“มายุ่งอะไรกะลูกฉัน”
อย่างเบาๆ ก็คงโดนว่าอย่างนี้
ถ้าผมเข้าไปบอกผู้เป็นแม่
“ลุงมาเสือกอะไรด้วย”
อย่างหนักๆ ผมอาจโดนคำนี้
ผมไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง
สิ่งที่ผมทำคือได้แต่คิด
ผมคิดถึงสมัยผมเป็นเด็ก
ผมกับเพื่อนเด็กด้วยกันเล่นปีนต้นไม้ ลุงแก่มากคนหนึ่งผ่านมาเห็นก็ดุใหญ่
“เดี๋ยวก็ตกลงมาคอหักตาย ซนไม่เข้าเรื่อง” แกเอ็ดตะโร พลางหาไม้จะตีพวกเราถ้ายังไม่ยอมลงมา
ไม่มีใครในหมู่พวกเรารู้จักลุงคนนั้น แต่เราก็ตาลีตาเหลือกลงมาทันที
เด็กสมัยผมถูกสั่งสอนว่า ผู้ใหญ่ตักเตือนต้องเชื่อฟัง
เดินไปตามทาง เจอคนแก่ต้องยกมือไหว้เหมือนไหว้พระ รู้จักไม่รู้จักไม่สำคัญ
สมัยนี้ระบบนี้สูญสิ้นไปจากสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมเมือง
เราอยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ใครจะทำอะไรยังไง ไม่ต้องไปยุ่งกัน
“เรื่องของชาวบ้าน” เราอ้างกันอย่างนี้
แล้วเรื่องอื่นๆ อีกล่ะ ที่เราไม่ได้อบรมกล่อมเกลากันมาตั้งแต่เด็ก
เรากำลังช่วยกันผลิตพลเมืองที่พร้อมจะออกไปก่อปัญหาให้แก่สังคม
เด็กน้อย เหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ ควรจะได้รับน้ำย้อมที่สวยสดใส
แต่เธอจะกลายเป็นเด็กมักง่ายไปอีกคนหนึ่ง เพราะความมักง่ายของผู้ใหญ่
แม่เธอ
อาจจะเป็นตัวผม ก็ด้วย
หรือจะโทษระบบของสังคม ?
ผมนึกถึงกาพย์พระไชยสุริยา
…
พาราสาวัตถี
ใครไม่มีปรานีใคร
….
ผมเดินออกกำลังทุกเช้า ก็เลยได้เห็นอะไรๆ เป็นกำไรชีวิตทุกวัน
เช้านี้ ผมไม่แน่ใจว่า ได้กำไรหรือขาดทุน
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖